Tuesday, November 26, 2013

ความแตกต่างระหว่างความประหยัดและความงก(3)

เนื้อหาใน 2 ตอนแรกของบทนี้เป็นขั้น Basic ของการใช้เงินให้มีประสิทธิภาพ ยังมีวิธีการสร้างความมั่งคั่งด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพที่น่ารู้อีกจุดหนึ่งและเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราไม่รู้ตัวอีกด้วยครับ

เราไม่จำเป็นต้องโทษหรือมีทัศนคติที่เป็นลบต่อต้นทุนที่มีน้อยนิดของตัวเองเลยครับ คนเราชอบคิดว่าเพราะเราไม่มีต้นทุนเลยทำให้ไม่รวยเหมือน Buffett หรือมหาเศรษฐีท่านอื่น ผมอยากจะบ่นคนที่คิดอย่างนี้มากครับ เพราะคนที่คิดอย่างนี้ถือว่าไม่ให้เกียรติ์ผู้มีพระคุณของเราทุกคนที่เคยสอนเรามาบนโลกนี้ ทั้งพ่อแม่ที่ส่งเสียเลี้ยงเรามาหลายปี  ทั้งครูบาอาจารย์ที่ป้อนความรู้เหล่านั้นซึ่งเป็นต้นทุนให้กับเรา ทั้งเจ้านายที่สอนงานเราด้วยการดุด่าเรา ทั้งศัตรูที่เคยทำไม่ดีกับเราซึ่งสิ่งที่เค้าทำไม่ดีนั้นแหละคือความรู้ที่เราได้เพิ่มขึ้นมาในชีวิต คนเหล่านี้แท้จริงแล้วให้ทุนกับเรามากมายแต่เรากลับมองข้ามและมองมันในแง่ลบอีกต่างหาก

ส่วนตัวผมมองว่าคนที่จะมั่งคั่งคือการใช้ต้นทุนที่มีของตัวเองให้มีประสิทธิภาพที่สุดต่างหาก การปรับตัวของเราให้เข้ากับต้นทุนที่เรามีนั้นแหละคือเคล็ดลับของการสร้่างความมั่งคั่ง ตัวอย่างของการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเช่น เหตุการณ์ล่าสุดที่ม็อบมาประท้วง ปตท.เรื่องค่าน้ำมันแพง แทนที่เราจะไปประท้วง เราก็ซื้อหุ้นปตท.ไปซิครับ ปตท.มี monopoly ในประเทศมากนักเราก็อย่าไปขวางครับกลับเป็นผลดีกับเราอีก

คุณรู้ไหมครับว่า Buffett รู้ตัวว่าเค้าจะรวยด้วยการที่เค้ามี Net worth ในตัวเค้าเท่าไหร่กัน ผมจะบอกให้ครับเค้ามีมูลค่าตัวเค้าแค่ประมาณ 90,000 US dollars เองครับ(ที่มา: http://www.fool.com/investing/general/2013/11/16/the-moment-warren-buffett-realized-he-was-rich.aspx#.UonKso3kLII.facebook) นี่คือตัวเลขที่ปรับเงินเฟ้อมาเป็นค่าเงินในปัจจุบันแล้วนะครับ และตอนนั้นเค้าอายุ 21 ปี นั่นถือว่าน้อยนะครับ

ผมอ่านหนังสือมามากพอสมควรจนทำให้รู้ได้ว่ามหาเศรษฐีเหล่านี้เค้าใช้ leverage ในการดันเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดของเค้าให้งอกเงยขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ (เพิ่มเติม: http://www.richdad.com/unfairadvantage)โดยวิธีการตัวอย่างเหล่านี้
1. ใช้เงินของคนอื่น(Other's people money) เป็น leverage ประเภทหนึ่งที่คนรวยใช้สร้างเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ลองนึกภาพตัวอย่างนี้เอาเองครับ สมมุติผมกู้เงินมาได้ต้นทุน 5% ต่อปีไปซื้อทรัพย์สินราคาถูก ซึ่งให้เงินปันผลผม 10% ต่อปี คิดดูเอาเองละกันครับว่า เค้าจะมี 5% ของยอดกู้นี้ทุกปีที่ผ่านไป

คนเราใช้ประโยชน์จาก leverage ชนิดนี้ในชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัวจากไหนรู้ไหมครับ......จากการกู้ซื้อบ้านไงครับ เป็นการกู้ระยะยาว 30 ปีดอกเบี้ย 7% ต่อปีแต่ราคาบ้านขึ้น 10% ต่อปี เห็นภาพป่าวครับ

การใช้บัตรเครดิตก็เป็นรูปแบบการกู้อีกประเภทหนึ่งถ้าเปรียบกับการทำธุรกิจก็เหมือนเราซื้อของจาก Supplier แบบที่เค้าให้ credit เราอ่ะครับ และเราก็ขายแบบไม่มี credit ให้กับลูกค้า เป็นไงล่ะครับแค่ใช้ credit แค่นี้ก็สร้างความมั่งคั่งได้แล้ว

บริษัทมากมายในโลกก็ใช้การกู้เงินมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำเงินครับสังเกตได้จากความแตกต่างของตัวเลข ROE กับ ROA ที่แตกต่างกันครับ บริษัทมากมาย leverage เพื่อให้ได้ ROE สูงๆเช่น 25% แต่พอหันกลับไปดู ROA....แค่ 12% หมายความว่าไง....หมายความว่าบริษัทนี้กู้มาเพื่อทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มให้กับทุนเดิมที่มีอยู่ ถ้าลำพังการทำธุรกิจด้วยทุนเดิมที่มีอยู่จริงๆโดยไม่กู้ก็คงจะทำเงินเฉลี่ยได้แค่ปีละ 12% เท่านั้น แหละครับ 

2. ใช้ทรัพยากรของคนอื่น(Other people's resources) เป็น leverage  อีกอันหนึ่ง ลองคิดดูครับถ้าคนๆนึงเป็นคนที่ต้องทำงานเองทั้งหมดเพื่อให้ได้เงินมาคนคนนี้จะมีเวลาทำเงินเต็มที่(ถ้าไม่นอน) วันหนึ่งก็แค่ 24 ชั่วโมง ผิดกับอีกคนหนึ่งที่ใช้คนทำงานเป็น ใช้คนให้ถูกกับงานเป็นจะทำให้มีเขาดึงเวลาจากผู้อื่นที่ทำงานให้เขามาใช้ประโยชน์ได้โดยสมมุติถ้ามีลูกน้อง 9 คน รวมกับตัวเขาเองเป็น 10 คนเปรียบเสมือนวันหนึ่งเขามีทรัพยากรเวลาเป็น 240 ชั่วโมงแล้ว

ตัวอย่างที่เราเห็นในชีวิตประจำวันก็คือพวกทำธุรกิจ MLM ครับ คุณคิดว่าคนเหล่านี้รวยเพราะขายของได้เยอะเหรอครับ...ไม่จริงเลยเพียงแต่เค้ามีลูกข่ายที่ช่วยเขาหาเงินเยอะต่างหากล่ะ

ผมคิดว่า 2 ข้อข้างบนก็น่าจะทำให้คุณนึกออกถึงวิธีการขั้น Advance ของ Value Investment นะครับ นั้นก็คือการ leverage นั้นเอง ผมขอจบเรื่องความประหยัดไว้เพียงเท่านี้ละกันครับ

No comments:

Post a Comment