Thursday, November 28, 2013

ถ้าจะลงทุนต้องพัฒนาทัศนคติ

"จงโลภเมื่อคนอื่นกลัว และจงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ" say Buffett(ที่มา: http://www.goodreads.com/quotes/29255-be-fearful-when-others-are-greedy-and-greedy-when-others)

เป็นคำพูดที่ถูกต้องในโลกของการลงทุนเพราะอะไร? เพราะเมื่อคนอื่นกลัวกันหมดแล้วพาหนีออกจากตลาดหุ้นจึงทำให้ราคาหุ้นร่วงลงก่อให้่เกิดโอกาสทางการลงทุนครั้งสำคัญในชีวิต แต่อย่าเข้าใจลุง Buffett ผิด จริงๆแล้วเราไม่ควรมีความโลภทุกขณะที่ลงทุนเลย ผมคิดว่า Buffett แค่พูดไปในลักษณะเปรียบเปรยให้เราอย่ากลัวมากจนเกินเหตุเวลาที่ตลาดหุ้นตกต่ำเพราะแท้ที่จริงนั่นแหละคือจังหวะที่ดีที่สุดของการลงทุนระยะยาว

การมีทัศนคติที่ดีเป็นสิ่งหนึ่งที่แยกนักลงทุนธรรมดากับนักลงทุนทั่วไปออกจากกันที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะตำราการลงทุนที่ไหนก็จะบอกเหมือนๆกันว่าความฉลาดทางอารมณ์นี่แหละคือสิ่งสำคัญมากสุดๆในการลงทุนทุกประเภทไม่ใช่เฉพาะในตลาดหุ้น (แต่หุ้นสามารถซื้อขายได้ง่ายในปัจจุบัน เป็นการลงทุนที่เอื้อมถึงได้ง่ายที่สุด)

การฝึก EQ คือสิ่งที่พูดง่ายทำยากมาก ผมเป็นพวก Realist ผมเข้าใจดีว่ามันยาก แต่ผมมองว่ามันแอบเป็น Challenge หนึ่งที่สำคัญในชีวิตของผมที่ได้ถ่ายทอดวิธีการมีทัศนคตินี้

เป้าหมายใหญ่ที่สุดของผมคือ share วิธีการปรับทัศนคติที่ง่ายที่สุดซึ่งทำได้จริงที่ฝึกความฉลาดทางอารมณ์เพื่อเอาไว้ใช้ในการลงทุนให้มีความสุข ส่วนจะรวยหรือไม่รวยนั้นขึ้นอยู่ปัจจัยอื่นอีกมากมายซึ่งผมไม่สามารถควบคุมปัจจัยเหล่านั้นได้หมด แต่ถ้าฝึกทัศนคติแล้วแน่นอนเหมือนกับจบหลักสูตรการลงทุนไปครึ่งหนึ่งแล้ว

การฝึก EQ เป็นเรื่องที่ไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ต้องใช้เวลานานแสนนานที่จะฝึกจนเก่ง ขึ้นอยู่กับบุญเก่าที่แต่ละคนมี(เนื่องจากบุญเก่าที่มีทำให้แต่ละคนมีปัญญาไม่เท่ากันในการจัดการอารมณ์ตนเอง) 

จริงๆแล้วหนังสือที่สอนการลงทุนมีมากมายในตลาดก็มีสอนเรื่องทัศนคติอยู่แล้วแต่ก็อย่างที่บอกคือถึงเวลาจริงแล้วเราทำไม่ได้หรอกเพราะเราไม่มีพลังสติมากพอที่จะรู้ว่าขณะนั้นเรากำลังมีทัศนคติที่แย่อยู่ และหนังสือที่สอนการลงทุนก็กล่าวประเด็นนี้ละเอียดแบบสุดๆไม่ได้เพราะหนังสือนี้มันคือหนังสือสอนการลงทุน ไม่ใช่หนังสือสอนธรรมะ!! ถ้าใช้เวลาสอนธรรมะเยอะเกินไปมันจะไม่ดีต่อผู้อ่านเพราะว่าผู้อ่านเค้าต้องการประเด็นเรื่องการลงทุน

อย่างไรก็ตามถ้าผมจะไม่บอกสูตรสำเร็จไว้บ้างในหัวข้อนี้คนที่อ่านก็อาจจะด่าผมได้ว่าให้อ่านตั้งนานเล่นไม่บอกอะไรเลยอะไรแว้....ผมขอคิดแป๊บนึงครับ....... เอางี้ละกันผมขอเลือกให้คุณ.....

ตัดความโลภทิ้งซะ!!! 

ความโลภนี่แหละคือสิ่งที่เป็นบ่อเกิดของการตัดสินใจผิดพลาดทางด้านการลงทุนแทบจะร้อยทั้งร้อย ความโลภนี่แหละทำให้เราหน้ามืดตามัว บทความต่อไปของผมก็จะเป็นแนวทางในการตัดความโลภของเราทิ้ง คอยติดตามต่อใน BLOG หน้าครับ  ถ้าคิดที่จะสร้างความมั่งคั่ง...อย่าโลภ!!!



ถ้าคิดที่จะสร้างความมั่งคั่ง...อย่าโลภ!!!

ในบทความที่แล้ว ถ้าจะลงทุนต้องพัฒนาทัศนคติ นั้นมีได้เกริ่นไปว่าความโลภคือนิสัยแรกที่เราอยากให้ปรับลดลง

ผมเคยแนะนำเพื่อนคนหนึ่งที่ไม่ใช่นักลงทุนให้ซื้อหุ้นตัวหนึ่ง(เดี๋ยวนี้ผมจะไม่ทำอย่างนั้นแล้ว เพราะฉะนั้น..อย่าถามว่าตัวไหนดี!!!) ผมได้คำตอบเค้ากลับมาว่า "กูคิดใหญ่ว่ะ กูว่่าถ้าซื้อหุ้นกูก็อยากให้มันได้กำไรแบบ 4-5 เท่า" ผมถึงกับเลิกคุยและคิดในใจว่า
  • คนไม่เคยลงทุนจริงอย่าไปคุยกับเค้าเยอะ-เพราะคนเหล่านี้เป็นพวกทฤษฎีจ๋า เป็นพวกไม่เคยเจอสถานการณ์การลงทุนจริงๆ มักจะมีหลักการมากมายแต่ให้ไปทำจริงก็ทำไม่ได้หรือไม่ก็ไม่เคยเริ่มลงมือทำจริงซะที หลายๆคนไม่มีธรรมะในใจ และคนพวกนี้หลายคนไม่ใช่คนที่จะให้กำลังใจเราเมื่อเราตัดสินใจลงทุนผิดพลาด
  • คนที่มีความโลภหวังที่จะให้ได้ผลตอบแทนสูงๆ- เชื่อเหอะว่าเจ๊งทุกราย เหมือนกับคนที่อยากได้อะไรจะไม่ได้สิ่งนั้่นแต่ พอเราไม่หวังแล้วเราก็กลับได้มัน มันเป็นความจริงของโลกเราครับ
  • ไม่ใช่การหวังกำไรเยอะคือการคิดใหญ่นะครับ- คนที่ีรวยและคิดช่วยเหลือผู้อื่นต่างหากคือคนคิดการใหญ่ในความคิดผมนะ
นักลงทุนมักจะเจอเหตุการณ์เหล่านี้กระตุ้นให้เราโลภ ผมขอแยกเป็น 4  กรณีที่เห็นบ่อย
     
     1. กลัวพอไม่ได้ซื้อหุ้นแล้วจะเหมือนตกรถเพราะเค้าไปไหนต่อไหนแล้วแต่เรายังอยู่ที่เดิม
         อันตรายจากการคิดแบบนี้ : คุณจะเข้าไปซื้อหุ้นที่คุณไม่รู้พื้นฐานของมันและคุณจะขายไม่ทันแล้วคุณก็จะเป็นเม่าตัวหนึ่งที่ติดดอย
         ลองคิดงี้ดู
- รู้สึกดีที่คนอื่นได้ดีหรือที่เรียกว่า "มุทิตา" 
อีกอย่างคือ อย่าปรุงแต่งเอง!!! คุณปรุงแต่งไปเองว่าหุ้นตัวนั้นขึ้น คุณวาดภาพไปว่าหุ้นพวกนั้นขึ้นไปแล้ว ในใจคุณคิดไปเองทั้งนั้น ขอย้ำอีกครั้งว่าอย่าคิดไปเอง!! คุณจะลงทุนเด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้นคือคุณศึกษาเองมาอย่างดีแล้ว คุณจะไม่เชื่อใครทั้งนั้น คุณเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งได้ มั่นใจหน่อยครับ!!
    
     2. เวลาคนอื่นมาบอกว่าเค้ารวยจากนู่นจากนี่แล้วคุณจึงอยากทำตาม
         อันตรายจากการคิดแบบนี้ :  ถ้าคุณเข้าไปทำตามแต่คุณไม่เก่งในด้านนั้นคุณก็จะล้มเหลวเช่นเพื่อนที่มาบอกว่าเค้าขายของทางเน็ตแล้วรวย  คุณก็เลยไปขายบ้าง....ปัทโธ่!!!! คุณทำ WEB หรือ ทำ SEO เป็นเหมือนกับเขาเหรอไปทำตามเค้าน่ะ
         ลองคิดงี้ดู :
- รู้สึกดีที่คนอื่นได้ดีหรือที่เรียกว่า "มุทิตา"
- จริงเหรอ?? คนพูดเค้าเอาต้นทุนของใน stock ที่ขายไม่ออกมาเกลี่ยด้วยหรือไม่?? คนขายมักจะต้องตุนสินค้าดังนั้นเค้่าต้องมีที่ที่เก็บของที่ขาย...ที่สมัยนี้มันตารางเมตรเท่าไหร่แล้วน้าาาา??? เค้าเอาต้นทุนที่เกิดจากค่าแรงที่ต้องจ่ายให้ตัวเองหรือลูกน้องของเค้าเข้าไปหรือไม่?? เศรษฐกิจช่วงนี้ดีจังเซ็นทรัลมีคนเข้าเยอะตลอดเลยแต่ว่า...ตอนปี 40 นี่ เซ็นทรัลคนน้อยนะเท่าที่จำความได้อ่ะ?? หรือว่าสมัยนี้เศรษฐกิจดีจนใครก็ตามที่ทำอะไรที่ตัวเองเก่งก็สามารถรวยได้ทุกคนรึเปล่า??
- อย่าลืมที่จะอยู่ในสนามที่เราถนัดครับ

     3. เวลาหุ้นตัวเองไม่ขึ้นแต่หุ้นตัวอื่นทำไมขึ้นเอาๆ
         อันตรายจากการคิดแบบนี้ : ไม่มี แค่ไม่มีความสุข
         ลองคิดงี้ดู :
- รู้สึกดีที่คนอื่นได้ดีหรือที่เรียกว่า "มุทิตา"
- หยุดแล้วคิดก่อน....ทำไมไม่มองตอนที่หุ้นตัวเองขึ้นอยู่แล้วหุ้นคนอื่นไม่ขึ้นบ้างล่ะครับ...โลกเรามันไม่ได้หม่นหมองขนาดนั้น
-มั่นใจหน่อยพวก!! ว่าหุ้นตัวเองขึ้นแน่ สิ่งที่แตกต่างระหว่างนักลงทุนระยะยาวกับนักเก็งกำไรคือการที่นักลงทุนระยะยาวรู้แน่นอนว่าหุ้นตัวเองขึ้นแน่เพียงแต่เมื่อไหร่

     4. เวลาหุ้นขึ้นแล้วบอกว่าซื้อน้อยไป "รู้งี้"น่าจะซื้อเยอะกว่านี้
         อันตรายจากการคิดแบบนี้ : ไม่มี แค่ไม่มีความสุข
         ลองคิดงี้ดู :
- แค่อยากจะบอกว่าผมเกลียดคนพูดว่า "รู้งี้" ใครเค้ารู้อนาคตกันบ้างครับ   ถ้ารู้เค้าก็รวยกันหมดแล้วครับ 
- หาวิธีซื้อหุ้นที่ทำให้คุณไม่เสียดายเมื่อมันขึ้น และต้องเป็นวิธีเดียวกับที่คุณไม่เสียใจเมื่อมันลง  ผมบอกแล้วนะครับการลงทุนอย่ามองด้านเดียว   อย่าปรุงแต่งวาดภาพว่ามันขึ้นอย่างเดียว ผมแนะนำว่าตั้งราคาที่คุณต้องการซื้อแล้วซื้อครึ่งหนึ่งด้วยจำนวนเงินครึ่งหนึ่งครับ แล้วอีกครึ่งหนึ่งคุณค่อยหาจังหวะซื้อเอาเองอีกที

    5. เราถือหุ้นตัวหนึ่งที่เราตั้งราคาที่จะขายไว้ที่ราคาหนึ่งแต่เมื่อถึงจุดนั้นเราคิดว่าถือต่อไปอีก
        อันตรายจากการคิดแบบนี้ : ถ้าขายไม่ทันสุดท้ายเราอาจจะติดดอย
        ลองคิดงี้ดู :
- ผมไม่รู้วิธีคิดแก้ปัญหานี้ผมจึงไม่ดึงดันที่จะอยู่ในสนามเก็งกำไร แต่ถ้าใครอยากเก็งกำไรจะต้องขาย cut loss เป็น(cut loss คือการยอมขายขาดทุนที่จุดๆหนึ่งเพื่อไม่ให้ขาดทุนไปมากกว่านี้) และ ขายหมูเป็น(ขายหมูคือการยอมขายเพื่อเอากำไรน้อยดีกว่าขายไม่ทันเลย  ส่วนมากแล้วหลังจากขายไปแล้วราคาหุ้นมักจะขึ้นต่อไปอีก)
-ถ้าใครทำใจขาย cut loss กับ ขายหมูไม่ได้อย่าไปเล่นในสนามเก็งกำไรเลยครับ เสียเงินเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์กับการสร้างความมั่งคั่ง


เรื่องการตัดนิสัยโลภทิ้งนั้นต้องอาศัยเวลาฝึกและต้องมีพลังสมาธิสูงในการที่จะรู้ตัวเองณ ขณะหนึ่งว่าเรากำลังโลภอยู่หรือไม่ ผมคงไม่มีอะไรพูดสรุปวิธีการตัดความโลภอะไรมากไปกว่านี้แล้วครับ เพราะยิ่งพูดยิ่งเยอะ สิ่งที่พูดเหมือนเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น ผมบอก trick ที่ดูตลกนิดนึงครับแต่เป็นวิธีที่ได้ผลมากๆเลยสำหรับผม นั่นคือการฝึกสมาธิโดยการท่องมนต์บทยาวๆ ขอย้ำนะครับว่าท่องมนต์ไม่ใช่อ่านมนต์ เพราะการท่องมนต์จะสร้างสมาธิให้เราขณะที่เราท่องอยู่(ส่วนตัวผมท่องพระคาถาชินบัญชรครับ)


                                        

Wednesday, November 27, 2013

วิวัฒนาการของบริษัทจนกระทั่งเข้าตลาดหุ้น

ขอพักเรื่องธรรมะก่อนครับแล้ววกมาเข้าเรื่องการลงทุนหุ้นหรือเรียกว่าลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์บ้างดีกว่า  โดยบทนี้เป็นการเปิดเผยวิวัฒนาการของบริษัทหนึ่งตั้งแต่เริ่มก่อตั้งไปจนถึงเวลาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  โดยช่วงเวลาที่บริษัทเติบโตไปนั้นจะมาพร้อมกับตัวเลขมูลค่าบริษัทในรูปแบบต่างๆ ซึ่งผมอยากจะให้สังเกตเอาไว้(ตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวเลขสมมุติและเป็นกรณีตัวอย่างที่ไม่มีผลจากวิศวกรรมทางการเงินใดๆเกิดขึ้นเลย)

บทความนี้ยังมีข้อสังเกตที่น่าคิดสำหรับผู้ที่ชอบซื้อหุ้น IPO ที่ในปัจจุบัน(ปีพ.ศ. 2556)กำลังคลอดออกมาอย่างแพร่หลายด้วย

บริษัทหนึ่งเมื่อเริ่มก่อตั้งจะทำการรวบรวมบุคคลมาเป็นผู้ถือหุ้นเพื่อที่ว่าจะได้มีทุนทรัพย์ในการทำเงินของบริษัท แรกเริ่มเดิมทีจะกำหนดขึ้นว่าบริษัทนี้จะมีกี่หุ้นแต่ละหุ้นมีค่าเท่าไหร่ ราคาหุ้นเริ่มต้นที่กำหนดตอนจดทะเบียนบริษัทเรียกว่าราคา PAR ถ้าจะพูดในเชิงบัญชีก็คือณ วันที่ก่อตั้งหุ้นตัวนี้จะมีมูลค่าหุ้นทางบัญชี(ฺBook Value) เท่ากับ 1 บาทถ้าสมมุติว่าราคา PAR ที่กำหนดคือ 1 บาท

ผู้ถือหุ้นแต่ละคนก็เอาทรัพย์สินทุกชนิดไม่ใช่เฉพาะเงินสดมารวมกันแล้วแต่ละคนก็จะได้สัดส่วนการถือหุ้นกันไป

เมื่อทำธุรกิจไปเรื่อยๆในช่วงแรกๆถ้ายังหาลูกค้ามาซื้อได้ไม่มากพอที่จะกลบ Fixed cost ของตัวเองได้และถ้าเป็นอย่างนั้น(หาลูกค้าได้ไม่มากพอจนกำไรไปกลบ Fixed cost)ไปเรื่อยๆจนครบ 1 ปี สรุปบัญชีกำไรขาดทุนตอนสิ้นปีก็จะได้ว่าบริษัทขาดทุนมีความหมายว่ามูลค่าทางบัญชี ณ ตอนนี้คือน้อยกว่า 1 บาทต่อหุ้นแล้ว

สถานการณ์เป็นอย่างนี้ไปจนปีที่ 5 (สายป่านยาวครับเลยอยู่รอดด้วยการขาดทุนถึง 5 ปี!! ระหว่างนี้มีการขายหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมบางคนที่ทนไม่ไหวให้กับผู้ถือหุ้นคนอื่นที่ยึดมั่นในบริษัทด้วยราคา 0.75 บาทต่อหุ้น โดยปีที่ 1 -4 ขาดทุนทุกปีจนทำให้มูลค่าทางบัญชีเหลือ 0.3 บาทต่อหุ้น) บริษัทจึงเริ่มมีกำไรในปีนั้น บริษัทกำไรต่อเนื่องแบบนั้นไปอีก 5 ปี(ปีที่ 6 -10)ที่นี้แหละครับตัวเลขที่ขาดทุนมาตลอดในช่วง 5 ปีแรกจึงถูกแทนทีด้วยกำไรของ 5 ปีถัดมา มูลค่าทางบัญชีจึงกลับมาเท่ากับราคา PAR อีกครั้งหนึ่งคือ 1 บาทต่อหุ้น

เวลาถัดจากนี้ต่อไปอีก 10 ปีบริษัททำกำไรได้ตลอดทุกปีจนทำให้ Book Value ของบริษัทกลายเป็น 8 บาทต่อหุ้น  สิ้นปีที่ 10 บริษัทเห็นว่าอยากเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนจึงออกหุ้น IPO ด้วยราคา 13 บาทต่อหุ้นเนื่องจากเป็นช่วงที่เศรษฐกิจดีมาก ให้สังเกตว่าราคาหุ้น IPO คือราคาตลาดที่เค้าประเมินออกมาเพื่อมาขายให้ประชาชนนะครับ และแล้วบริษัทนี้ก็ทำกำไรต่อไปอีก 1 ปี ผ่านไป 1 ปีหลังจากออก IPO เกิดวิกฤตฟองสบู่แตก ราคาหุ้นในตลาดของบริษัทนี้จึงเหลือเพียงแค่ 7.5 บาทต่อหุ้นแต่มูลค่าทางบัญชีกลายเป็น 8.5 บาทต่อหุ้นแล้ว

สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อในที่นี้คือ

  1. สังเกตว่าบริษัทที่มีกำไรทุกปีนะครับที่อยู่มายิ่งนานวันเรื่อยก็จะมีมูลค่าทางบัญชีมากขึ้นแต่ไม่ได้หมายถึงราคาตลาดนะครับที่มากขึ้นตามเวลา(ขึ้นอยู่กับอารมณ์)
  2. ผมอยากให้แยกให้ออกว่าราคาตลาดกับราคาพื้นฐาน(มูลค่าทางบัญชี)มันคนละตัวกัน
  3. หุ้น IPO มักจะออกมาในช่วงที่ตลาดบูมเสมอ เพราะว่าเป็นช่วงที่ระดมทุนได้เยอะ ถ้าเข้าใจตรงนี้ก็จะเข้าใจว่าในหลายๆครั้งราคา IPO มักจะลดต่ำลงในช่วงแรกๆที่ออกมาเพราะว่ามันจะคอยวิ่งเข้าหาพื้นฐานอยู่เสมอ
  4. มูลค่าทางบัญชีก็คือ Book Value ครับ มีอัตราส่วนทางการเงินที่เกี่ยวข้องคือ P/BV คือราคาตลาดหารด้วยมูลค่าทางบัญชี
อันนี้เป็นพื้นฐานที่อยากให้รู้ก่อนสำหรับมือใหม่ที่อยากลงทุนในหุ้น(บริษัท) ซึ่งสำหรับหลายๆคนอาจจะรู้อยู่แล้วก็ขออภัยด้วยครับ ถ้ามีเรื่องไหนที่สงสัยในประเด็นเกี่ยวกับพื้นฐานหุ้นก็ถามผมนอกรอบได้ครับ ผมยินดี

Tuesday, November 26, 2013

ความแตกต่างระหว่างความประหยัดและความงก

ผมเป็นคนคนหนึ่งที่มักจะมีคนเข้าใจผิดเสมอว่าทำไมไม่ค่อยใช้ตัง "เก็บตังมากไม่ดีนะ" เป็นคำพูดที่ผมได้ยินคนบอกอยู่เป็นประจำ ผมมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกล่าวสำหรับเหตุการณ์เหล่านี้ดังต่อไปนี้

1. จริงเหรอ? ที่ผมไม่ได้ใช้ตัง ผู้พูดรู้ความจริงมากแค่ไหน เห็นผมเวลาผมใช้เงินหรือไม่ หรือเวลาที่ใช้เงินนั้นจำเป็นด้วยหรือไม่ที่ต้องประกาศให้ชาวบ้านรับรู้เรื่องการใช้เงินของเรา
2. รู้เหตุผลที่ผมไม่ใช้ตังเหรอ? คนแต่ละคนมีสถานการณ์ไม่เหมือนกัน มีเป้าหมายชีวิตไม่เหมือนกัน มีเรื่องที่ต้องใช้จ่ายไม่พร้อมกัน บางครั้งเวลาที่จะใช้เงินอาจจะยังไม่ถึงก็ได้
3. บางครั้งคนเรามักไม่รู้ตัวเองว่าเรากำลังถือตัวตนอยู่เมื่อกล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมา คนเราทุกคนมีสัญชาตญาณการถือตัวตน(อัตตา) อยู่ทุกคน เวลาคนอื่นที่ทำอะไรไม่เหมือนกับตนเองมักจะมองว่ามันเป็นสิ่งที่ขัดหูขัดตาอยู่เสมอ สามารถอ่านเรื่องการถือตัวตนเพิ่มเติมได้ในบทความอัตตาของมนุษย์กับความมั่งคั่ง
4.คนหลายๆคนมักจะชอบใช้เงินปรนเปรอตนเองแต่เมื่อถึงเวลาต้องใช้จ่ายส่วนรวมก็มักจะไม่จ่าย เวลาคนว่าผมว่างกผมอยากจะบอกกลับไปว่า "เมิงไปกินข้าวด้วยกันกับกูเวลาจ่ายเงินบนโต๊ะ กูจะเป็นคนแรกที่วางเงินไว้บนโต๊ะเสมอ" คำว่างกเป็นคำที่แรงมากสำหรับผม

คนหลายคนมักไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างนิสัยสองอย่างนี้คือ "ประหยัด" และ "งก"

เหตุผลที่ผมอยากจะอธิบายความหมายของสองคำนี้ก่อนเพราะว่าถ้าเราไม่เข้าใจความหมายของคำว่าประหยัดที่แท้จริงเราจะใช้เงินในการสร้างความมั่งคั่งอย่างผิดๆ เรามักจะคิดว่าคนรวยมักจะงก ซึ่งความคิดนี้ผิดอย่างมหันต์ ผมขอยกตัวอย่างชาย 2 คนนี้ครับ

นาย A มักจะไม่ค่อยใช้เงิน มักจะเปลี่ยนมือถือ , รองเท้า และของใช้ของตัวเองน้อยมากมักจะยังใช้ต่อไปจนกว่ามันจะพัง เดินทางมักจะใช้รถสาธารณะเสมอเพราะเดินทางเพียงคนเดียว  วันหนึ่งลูกชายป่วยดูเหมือนจะเป็นหวัด ภรรยาเสนอว่าแค่นี้น่าจะเป็นหวัดธรรมดา แต่นาย A เมื่อเห็นลูกชายป่วยรีบส่งเข้าโรงพยาบาลโดยไม่สนใจว่าจะมีค่าใช้จ่ายมากขนาดไหนก็ตามเพราะชีวิตลูกชายสำคัญนัก เมื่อหายป่วยจึงตั้งใจไปฉลองโดยจะไปเที่ยวต่างจังหวัด ภรรยาเสนอว่าขับรถไปดีกว่าจะได้ประหยัดขับแค่ 8 ชั่วโมงก็ถึง นาย A มีงานมากเห็นว่าขับรถใช้เงินน้อยจริงแต่เสียเวลามากจึงแนะว่าเราไปเครื่องบินเถอะเสียไม่เท่าไหร่เิองเซฟเวลาด้วย

นาย B มีรายได้มากชอบซื้อมือถือใหม่ทุกๆ 3-4 เดือนที่มือถือใหม่ออก เวลาไปทำงานก็ขับรถไปเพราะสะดวกสบายแม้จะใช้เวลามากกว่านั่งรถสาธารณะก็ตาม นาย B เห็นว่าการซื้อประกันสุขภาพให้ลูกดูเป็นการจ่ายเงินทิ้งถึงจะเสียน้อยแต่ก็ไม่อยากเสียตังเรื่องไร้สาระพวกนี้ วันหนึ่งลูกชายป่วยเป็นหวัดเล็กน้อยด้วยการที่เห็นว่าเล็กน้อยจึงให้ภรรยาซื้อยาชุดรักษาตามอาการมาก็น่าจะหายแล้วปรากฏว่ารักษาเป็นเดือนแล้วลูกชายก็ไม่หายหวัดจึงจำใจต้องพาไปหาหมอ หมอบอกว่าอาการหนักมากเป็นหวัดลงกระเพาะ ต้อง admit เป็นเดือนทำให้นาย B ต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างมากจากเหตุการณ์ครั้งนี้

นาย A เมื่อดูเผินๆเหมือนเป็นคนที่งกมากๆไม่ยอมใช้ตังเลยแต่กลับจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวได้อย่างง่ายดาย ส่วนนาย B เหมือนจะเป็นคนที่ sport แต่ภายในบ้านกลับไม่ยอมดูแลค่าใช้จ่ายให้เรียบร้อย

ตัวอย่างของนาย A ถือว่าเป็นคนที่ใช้เงินคุ้มค่าซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีในการเป็นนักลงทุน การใช้เงินที่มีอย่างคุ้มค่านี่แหละคือสิ่งที่แยกระหว่างความงกและความประหยัดที่แท้จริง

ตัวอย่างของนาย  B เรียกว่าเข้าข่าย "เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย" ซึ่งก็คืองกนั้นแหละ

ในโลกของการลงทุนนั้นเราห้ามเป็นคนที่เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย เหตุการณ์ปี 40 (วิกฤตต้มยำกุ้ง) มีตัวอย่างของสถานประกอบการณ์มากมายที่ต้องล้มเพราะกู้เงินด้วยสกุลเงินต่างประเทศและไม่มีการ HEDGE ค่าเงินไว้(การ hedge คือการประกันไว้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะต้องเป็นอัตราเดิมเสมอมักจะมีการเสีย fee บ้าง)  จึงทำให้ต้นทุนทางการเงินพุ่งสูงขึ้นเมื่อรัฐบาาลประกาศเงินบาทลอยตัว

ในการลงทุนเน้นคุณค่า(Value Investment) นั้นก็แค่การประยุกต์หลักการใช้เงินอย่างประหยัดนั้นเอง การลงทุนเน้นคุณค่าก็คือการซื้อหุ้นที่ราคาเหมาะสมกับคุณภาพของตัวหุ้นก็เท่านั้น หุ้นที่ดีมากเราก็ยอมจ่ายแพง หุ้นแย่หน่อยก็พอจะซื้อได้ถ้าเสนอราคาให้เหมาะสม

เปลี่ยนความคิดของคุณใหม่นะครับว่าคนรวยจริงเค้าไม่ได้งกแต่เค้าดูความคุ้มค่าในการใช้จ่ายของเค้าเท่านั้นเองจึงทำให้เค้าเป็นคนประหยัดไปโดยปริยาย ยังมีเรื่องราวและข้อดีของการประหยัดอีกนะครับในบทความ ความแตกต่างระหว่างความประหยัดและความงก(2) รับรองว่าคุณไม่นึกว่ามีความเหนือชั้นจากความประหยัดมากกว่างกเงินอีก

ความแตกต่างระหว่างความประหยัดและความงก(2)

ขอต่อเรื่องราวของความประหยัดเลยละกันครับ

ความประหยัดและการใช้เงินคุ้มค่านั้นก็คือการยอมจ่ายได้เมื่อเห็นว่าสิ่งๆนั้นมีคุณค่าสูง ซึ่งคนแต่ละคนอาจจะมีมุมมองต่อสิ่งของที่มีคุณค่าสูงไม่เหมือนกันแล้วแต่สถานการณ์ของแต่ละคนเช่นคนบางคนไม่มีบ้านอยู่และต้องเช่าเขาอยู่ เขาจึงเห็นว่าการที่เค้าซื้อบ้านที่ราคาดูเหมือนจะแพงสำหรับคนอื่นแต่จริงๆแล้วคุ้มค่ากับตัวเขาเองอย่างมาก(เวลาที่ผมเขียน blog นี้คือช่วงปลายปี 56 ที่ราคาบ้านในประเทศไทยค่อนข้างแพงมาก) เพราะเขาได้อยู่และเขาไม่ต้องเสียเงินทิ้งไปกับค่าเช่าที่ไม่ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นความมั่งคั่งของเค้าเลยแม้แต่น้อย

อีกตัวอย่างหนึ่งเช่นการที่คนต้องใช้รถเพื่อทำงานหาเงินเขาจึงซื้อรถ ในมุมมองของคนที่มีรถอยู่แล้วอาจจะคิดว่าซื้อทำไมเปลือง แต่มุมมองของเค้านั้นต่างกัน รถที่เขาซื้อสามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับเค้าได้เค้าจึงมองว่ารถเป็นทรัพย์สินที่คุ้มค่ามากสำหรับเขา

จบไป 2 ตัวอย่างนี้ผมจึงขอสร้างนิยามของการประหยัดได้อีกคำนึงการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ

ผมขอกระโดดมาที่การเลือกซื้อหุ้นโดยใช้ความมีประสิทธิภาพของตัวหุ้นตัวนั้นมาพิจารณา ประเด็นที่เราต้องพิจารณาเมื่อเราเลือกหุ้นที่มีประสิทธิภาพการทำเงินสูงนั้นได้แก่
1. ROE(Return On Equity) มันคือผลกำไรทั้งหมดหารด้วยมูลค่าบริษัททางบัญชีทั้งหมด บริษัทที่ดีต้องมีค่านี้สูงๆ คือ 20% ขึ้นไปอันนี้ถือว่าโอเคครับ ถ้าเราซื้อหุ้นบริษัทเหล่านี้ที่ราคาต่อหุ้นเท่ากับมูลค่าทางบัญชีจะเปรียบเสมือนคุณมีความมั่งคั่งเกิดจากหุ้นตัวนี้ 20% ขึ้นไปไงครับ
2. P/BV(Price/ Book Value) อันนี้คือราคาตลาดต่อ 1 หุ้นหารด้วยมูลค่าบริษัททางบัญชีต่อ 1 หุ้น หมายความว่าถ้าเราซื้อหุ้นที่ราคา P/BV เท่ากับ 1 หมายความว่าคุณซื้อที่ราคาตลาดเท่ากับราคาทางบัญชีจริงๆเลย และเมื่อเทียบกับ ROE หุ้นตัวนี้ที่ 20% ด้วยจะหมายความว่าหุ้นที่ราคาที่คุณซื้อเพิ่มความมั่งคั่งให้คุณได้ 20% เลยทีเดียวเมื่อผ่านไป 1 ปี(ถ้าเอางบทั้งปีมาดูนะครับ)

ตัวเลข 2 ตัวด้านบนนี้เป็นเพียงตัวอย่างที่ผมใช้ในการประเมินความคุ้มค่าของราคาหุ้นที่ซื้อเท่านั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกที่ต้องดูควบคู่ไปด้วย

ในความเป็นจริงหุ้นที่มี ROE สูงมักจะมี P/BV สูงด้วยเพราะตลาดทั้งตลาดประเมินมูลค่ามันสูงเสมอจึงทำให้เราหาโอกาสยากที่จะซื้อหุ้นที่ดีมากกกกกกกๆด้วยราคาถูกสุดๆๆ ไม่เชื่อลองไปสังเกตค่า P/BV ดูเอง

"การซื้อหุ้นที่ดีมากแต่ราคากลางๆดีกว่าการซื้อหุ้นแย่ที่ราคาถูกสุดๆ" Buffett กล่าวไว้(ที่มา: http://www.cnbc.com/id/101000052)

ผมขอเติมนึดนึงครับยกเว้นว่าหุ้นที่แย่นั้นมีโอกาสที่จะกลายมาเป็นหุ้น Super stock ในอนาคตครับ แล้วเราไปเ็ห็นก่อนที่คนอื่นจะมองเห็นเหมือนเรา

เนื้อหาในเรื่องการใช้เงินประหยัดนี้ยังมีอีกในตอนที่ 3 นะครับความแตกต่างระหว่างความประหยัดและความงก(3)

ความแตกต่างระหว่างความประหยัดและความงก(3)

เนื้อหาใน 2 ตอนแรกของบทนี้เป็นขั้น Basic ของการใช้เงินให้มีประสิทธิภาพ ยังมีวิธีการสร้างความมั่งคั่งด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพที่น่ารู้อีกจุดหนึ่งและเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราไม่รู้ตัวอีกด้วยครับ

เราไม่จำเป็นต้องโทษหรือมีทัศนคติที่เป็นลบต่อต้นทุนที่มีน้อยนิดของตัวเองเลยครับ คนเราชอบคิดว่าเพราะเราไม่มีต้นทุนเลยทำให้ไม่รวยเหมือน Buffett หรือมหาเศรษฐีท่านอื่น ผมอยากจะบ่นคนที่คิดอย่างนี้มากครับ เพราะคนที่คิดอย่างนี้ถือว่าไม่ให้เกียรติ์ผู้มีพระคุณของเราทุกคนที่เคยสอนเรามาบนโลกนี้ ทั้งพ่อแม่ที่ส่งเสียเลี้ยงเรามาหลายปี  ทั้งครูบาอาจารย์ที่ป้อนความรู้เหล่านั้นซึ่งเป็นต้นทุนให้กับเรา ทั้งเจ้านายที่สอนงานเราด้วยการดุด่าเรา ทั้งศัตรูที่เคยทำไม่ดีกับเราซึ่งสิ่งที่เค้าทำไม่ดีนั้นแหละคือความรู้ที่เราได้เพิ่มขึ้นมาในชีวิต คนเหล่านี้แท้จริงแล้วให้ทุนกับเรามากมายแต่เรากลับมองข้ามและมองมันในแง่ลบอีกต่างหาก

ส่วนตัวผมมองว่าคนที่จะมั่งคั่งคือการใช้ต้นทุนที่มีของตัวเองให้มีประสิทธิภาพที่สุดต่างหาก การปรับตัวของเราให้เข้ากับต้นทุนที่เรามีนั้นแหละคือเคล็ดลับของการสร้่างความมั่งคั่ง ตัวอย่างของการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเช่น เหตุการณ์ล่าสุดที่ม็อบมาประท้วง ปตท.เรื่องค่าน้ำมันแพง แทนที่เราจะไปประท้วง เราก็ซื้อหุ้นปตท.ไปซิครับ ปตท.มี monopoly ในประเทศมากนักเราก็อย่าไปขวางครับกลับเป็นผลดีกับเราอีก

คุณรู้ไหมครับว่า Buffett รู้ตัวว่าเค้าจะรวยด้วยการที่เค้ามี Net worth ในตัวเค้าเท่าไหร่กัน ผมจะบอกให้ครับเค้ามีมูลค่าตัวเค้าแค่ประมาณ 90,000 US dollars เองครับ(ที่มา: http://www.fool.com/investing/general/2013/11/16/the-moment-warren-buffett-realized-he-was-rich.aspx#.UonKso3kLII.facebook) นี่คือตัวเลขที่ปรับเงินเฟ้อมาเป็นค่าเงินในปัจจุบันแล้วนะครับ และตอนนั้นเค้าอายุ 21 ปี นั่นถือว่าน้อยนะครับ

ผมอ่านหนังสือมามากพอสมควรจนทำให้รู้ได้ว่ามหาเศรษฐีเหล่านี้เค้าใช้ leverage ในการดันเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดของเค้าให้งอกเงยขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ (เพิ่มเติม: http://www.richdad.com/unfairadvantage)โดยวิธีการตัวอย่างเหล่านี้
1. ใช้เงินของคนอื่น(Other's people money) เป็น leverage ประเภทหนึ่งที่คนรวยใช้สร้างเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ลองนึกภาพตัวอย่างนี้เอาเองครับ สมมุติผมกู้เงินมาได้ต้นทุน 5% ต่อปีไปซื้อทรัพย์สินราคาถูก ซึ่งให้เงินปันผลผม 10% ต่อปี คิดดูเอาเองละกันครับว่า เค้าจะมี 5% ของยอดกู้นี้ทุกปีที่ผ่านไป

คนเราใช้ประโยชน์จาก leverage ชนิดนี้ในชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัวจากไหนรู้ไหมครับ......จากการกู้ซื้อบ้านไงครับ เป็นการกู้ระยะยาว 30 ปีดอกเบี้ย 7% ต่อปีแต่ราคาบ้านขึ้น 10% ต่อปี เห็นภาพป่าวครับ

การใช้บัตรเครดิตก็เป็นรูปแบบการกู้อีกประเภทหนึ่งถ้าเปรียบกับการทำธุรกิจก็เหมือนเราซื้อของจาก Supplier แบบที่เค้าให้ credit เราอ่ะครับ และเราก็ขายแบบไม่มี credit ให้กับลูกค้า เป็นไงล่ะครับแค่ใช้ credit แค่นี้ก็สร้างความมั่งคั่งได้แล้ว

บริษัทมากมายในโลกก็ใช้การกู้เงินมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำเงินครับสังเกตได้จากความแตกต่างของตัวเลข ROE กับ ROA ที่แตกต่างกันครับ บริษัทมากมาย leverage เพื่อให้ได้ ROE สูงๆเช่น 25% แต่พอหันกลับไปดู ROA....แค่ 12% หมายความว่าไง....หมายความว่าบริษัทนี้กู้มาเพื่อทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มให้กับทุนเดิมที่มีอยู่ ถ้าลำพังการทำธุรกิจด้วยทุนเดิมที่มีอยู่จริงๆโดยไม่กู้ก็คงจะทำเงินเฉลี่ยได้แค่ปีละ 12% เท่านั้น แหละครับ 

2. ใช้ทรัพยากรของคนอื่น(Other people's resources) เป็น leverage  อีกอันหนึ่ง ลองคิดดูครับถ้าคนๆนึงเป็นคนที่ต้องทำงานเองทั้งหมดเพื่อให้ได้เงินมาคนคนนี้จะมีเวลาทำเงินเต็มที่(ถ้าไม่นอน) วันหนึ่งก็แค่ 24 ชั่วโมง ผิดกับอีกคนหนึ่งที่ใช้คนทำงานเป็น ใช้คนให้ถูกกับงานเป็นจะทำให้มีเขาดึงเวลาจากผู้อื่นที่ทำงานให้เขามาใช้ประโยชน์ได้โดยสมมุติถ้ามีลูกน้อง 9 คน รวมกับตัวเขาเองเป็น 10 คนเปรียบเสมือนวันหนึ่งเขามีทรัพยากรเวลาเป็น 240 ชั่วโมงแล้ว

ตัวอย่างที่เราเห็นในชีวิตประจำวันก็คือพวกทำธุรกิจ MLM ครับ คุณคิดว่าคนเหล่านี้รวยเพราะขายของได้เยอะเหรอครับ...ไม่จริงเลยเพียงแต่เค้ามีลูกข่ายที่ช่วยเขาหาเงินเยอะต่างหากล่ะ

ผมคิดว่า 2 ข้อข้างบนก็น่าจะทำให้คุณนึกออกถึงวิธีการขั้น Advance ของ Value Investment นะครับ นั้นก็คือการ leverage นั้นเอง ผมขอจบเรื่องความประหยัดไว้เพียงเท่านี้ละกันครับ

กฎของการเชื่อ(กาลามสูตร)

ตัวอย่างจากหนังเรื่องหนึ่งที่เจ๋งมากนั่นก็คือเรื่องกู๋หว่าไจ๋ที่เจิ้งอี้เจี้ยนเป็นพระเอก


ไก่ป่าซึ่งเป็นเพื่อนของเฉินห้าวหนานหัวหน้าแก๊งหงซิ่งถูกใส่ร้ายว่าฆ่าหัวหน้าแก๊งยากูซ่าคนหนึ่ง ฉากนั้นเป็นฉากที่ห้าวหนานเดินลุยเข้าไปในงานศพเพื่อเคารพศพผู้ตายแต่แล้วเกิดเหตุความไม่พอใจขึ้นห้าวหนานชักปืนยิงขึ้นฟ้าแล้วตะโกนถามทุกคนว่า ตาข้างไหนเห็นไก่ป่าเป็นคนฆ่า?” เมื่อได้ยินอย่างนี้ทุกคนจึงเงียบและเข้าสู่ความสงบ

ในชีวิตเรามีเหตุการณ์เหล่านี้มากมายโดยเฉพาะเรื่องที่เค้าเล่ามา ผมถามตรงๆเถอะพวกคุณเชื่อได้อย่างไรว่าคนที่พูดพูดจริง 100% อย่างน้อยๆคนเรามักใส่สัญชาตญาณที่ทำให้ตัวเองดูดีเข้าไปในเนื้อเรื่องอยู่เสมอ ผมได้พูดถึงเรื่องน้ำเต็มแก้วในหัวข้อ น้ำเต็มแก้วและแก้วที่ไม่มีน้ำเลยไปแล้ว ในที่นี้ผมมีอีกคำสอนหนึ่งที่สำคัญมากๆในการสร้างความเป็นทางสายกลางของน้ำในแก้วคือ กาลามสูตร นั่นเอง(เพิ่มเติม: http://www.easyinsurance4u.com/buddha4u/kalamasutta.htm)

ผมสรุปให้เลยจงอย่าเชื่ออะไรที่ได้ยินหรือฟังมา จงคิดก่อนเสมอว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นที่เค้าเล่ามาหรือสอนมา ปัจจุบันนี้(ผมเขียนบทความนี้ตอนปลายปี พ.ศ.2556) เป็นช่วงที่เศรษฐกิจในประเทศค่อนข้างดี ใครก็ทำมาค้าขึ้น ใครเล่นหุ้นก็รวย ใครเปิดร้านค้า Online ก็รวย เป็นช่วงเวลาที่จะมีคนมาโม้ถึงความรวยให้คุณฟังมากมายในฐานะผู้ฟังที่ดี(น้ำไม่เต็มแก้ว)อย่าไปขัดเค้าครับ แต่เราต้องมีกาลามสูตรในการคิดด้วยว่า จริงเหรอ?? เช่นเค้าบอกว่าได้กำไรจากการขายเสื้อ online เป็นแสนต่อเดือน เราฟังแล้วต้องคิดเลยครับว่าจริงเหรอ อาจจะจริงว่ากำไรของเค้าหมายถึงกำไรขั้นต้นแต่เค้าไม่ได้เอาค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงจากการ Stock สินค้าอื่นๆที่ขายไม่ได้มาคำนวณด้วย เค้าไม่ได้เอาค่าขนส่งและค่าแรงของการทำงานมารวมด้วย ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่ได้รวมอยู่ด้วย (ปล.อย่าเข้าใจผมผิดว่าผมว่าคนพูดนะครับ คนพูดไม่ได้ตั้งใจโกหาเพียงแต่คนบ้าอะไรจะมาสาธยายให้ฟังอย่างละเอียดว่ามีค่านู่นค่านี่มาหักด้วยละครับ)

สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งของการฟังและคิดก่อนคือการที่เราจะได้ไม่ไขว้เขวไปกับกระแสความโลภที่รุนแรง  เมื่อใดก็ตามที่เราทำอะไรด้วยความโลภเมื่อนั้นแหละความโลภจะเข้ามาทำลายความมั่งคั่งของเราแทนที่ พอได้ยินเค้าเล่นหุ้นรวยๆ ทำให้เราเข้าไปซื้อโดยไม่ได้คิดเลยว่าทำไมเค้ารวยแต่เราแค่อยากรวยกับเค้าด้วย สุดท้ายติดดอย สิ่งสำคัญของการสร้างความมั่งคั่งคือการที่เรามีจุดยืนในตัวเอง เรารู้ว่าสนามไหนที่เราถนัดเราก็เล่นในสนามของเราต่อไป คนอื่นบอกยังไงฟังและคิดตามเฉยๆ อย่าไปโลภทำเหมือนๆกับเค้า 

น้ำเต็มแก้วและแก้วที่ไม่มีน้ำเลย

บทความนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับการสร้างความมั่งคั่งมาก


บุคคลที่น้ำเต็มแก้วคือคนที่ไม่ยอมฟังหรือรับข้อมูลดีๆใดเลย เมื่อมีข้อมูลแย่ๆที่ไม่สร้างสรรค์กลับสนใจเป็นอย่างมากอันนี้ถือว่าเป็นกรรมของคนนั้นที่เกิดมาไม่ยอมเปิดรับข้อมูลดีๆ คนที่น้ำเต็มแก้วกับคนดื้อด้านก็เป็นคนประเภทเดียวกันนั่นแหละ

คนที่ดื้อด้านมักจะเป็นคนที่สอนไม่ได้ ดุด่าไม่ได้ พอเค้าว่าหน่อยนึงก็น้อยใจไปหาว่าเค้าด่าแทนที่เราจะฟังเข้าก่อนกลับว่าเค้านินทาเค้าลับหลัง คนดื้อด้านเนี่ยแหละที่พระพุทธเจ้ากลัวนักหนาที่จะสอน คนเลวอย่างองค์คุลีมาลยังสอนได้แต่คนดื้อด้านนี้สอนยากแท้ คนดื้อด้านมักจะพูดขัดผู้สอนอยู่เสมอ และผู้สอนที่ฉลาดก็จะรู้สึกได้ถึงความปิดในตัวเองของผู้ฟังเสมอ

ผิดกับกลุ่มคนอีกประเภทคือคนที่แก้วไม่มีน้ำเลย คนพวกนี้ผมขออนุญาตตีความว่าเป็นคนที่หูเบาครับ เป็นคนที่ฟังและเชื่ออย่างสนิทใจไม่มีความสงสัยใคร่รู้จากข้อมูลที่ได้รับฟังเลย การเป็นแก้วที่ไม่มีน้ำก็เป็นอาการสุดโต่งเกินไป ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เป็นผลเสียต่อไปนี้

ถ้าสมมุติมาบอกว่าได้หุ้นดีมาอยากจะให้ซื้อ ซึ่งถ้าเราเป็นคนน้ำไม่มีในแก้วนั้นพอฟังแล้วก็จะเชื่อโดยที่ไม่พิจารณาให้ดีก่อนเลย ทำให้การซื้อหุ้นเหมือนกับการเล่นหวยไปซะงั้น ก็เข้าไปซื้อซึ่งนั่นแหละคือจุดสูงสุดที่ราคาหุ้นได้ไปถึงแล้ว คนคนนี้ก็ติดดอยไป

อ่านมาถึงตรงนี้อาจรู้สึกว่าจะให้ทำไงเนี่ยฟังมากก็โดนผมบ่นฟังน้อยก็โดนบ่น สรุปเลยละกันให้ใช้ทางสายกลาง(มัชฌิมาปฏิปทา) และระลึกไว้ถึงคำสอนในหัวข้อกาลามสูตรที่สอนให้คนคิดก่อนที่จะเชื่ออะไร ผมแนะนำให้ผู้อ่านไปอ่านต่อในหัวข้อกฎของการเชื่อ(กาลามสูตร)ครับเพราะมีเนื้อหาดีๆพร้อมทั้งตัวอย่างภายในนั้นอีกเยอะ

อัตตาของมนุษย์กับความมั่งคั่ง

อัตตาก็คือการถือตัวตนหรือก็คือการมี Egotism ของมนุษย์ (เพิ่มเติม: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=99953)ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นบ่อเกิดของความทุกข์อย่างหนึ่ง ผมขอยกเหตุการณ์บทสนทนาที่แสดงว่าผู้พูดเป็นผู้ยึดถือตัวตนก่อน แล้วหลังจากจบตัวอย่างนี้แล้วผมจะอธิบายว่ามันมีผลอย่างไรกับการสร้างความมั่งคั่งของเรา ขอเริ่มที่ตัวอย่างแรกก่อน


นาย A : เนี่ยแฟนกูแม่งงี่เง่ามากอ่ะเก็บตังไม่ยอมกินข้าวเพื่อจะเอาตังมาซื้อเครื่องสำอาง
นาย B : เห้ยไม่เห็นเป็นไรเลยเค้าเห็นว่ามันสำคัญกับตัวเค้าแหละ
นาย A : กูว่าไม่ฉลาดเลย คนเรามันก็ต้องกินข้าวดิวะเครื่องสำอางมันของนอกกาย ข้าวนี่กินไปก็อยู่ในตัวเรา

ส่วนตัวผมนะครับ นาย A จะยึดสิ่งที่ตัวเองทำเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ แต่ขอบอกไว้เลยทัศนคติของนาย A ผิดถนัดเลย เพราะคนเราไม่มีสิทธิ์คิดว่าสิ่งที่คนอื่นทำหรือความเห็นของคนอื่นเป็นเรื่องไม่ดี แฟนของนาย A อาจจะไปพูดกับเพื่อนของเค้าก็ได้ว่า แฟนกูงี่เง่ามากเลยเอาแต่กินของแพง ของพวกนั้นอ่ะทำที่บ้านเสียตังไม่ถึง 50 บาทเลย

ทุกคนยังจำสิ่งที่ผมบอกได้ใช่หรือไม่ว่าบทความนี้จะไม่บอกว่าผู้อ่านจะลงทุนในทรัพย์สินประเภทไหนดี เหตุผลก็คือผมไม่มีสิทธิ์บอกทุกคนว่าลงทุนอย่างงั้นดีนะหรืออย่างงี้ดีนะ เพราะคนเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมชอบหุ้นเพราะผมลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด มีนิสัยและความสามารถบางอย่างที่ทำให้ผมเหมาะที่จะซื้อหุ้นลงทุน คนอื่นๆอาจจะมีความสามารถในการขายได้เก่งก็อาจจะสร้างธุรกิจขึ้นมาเพื่อสร้างความมั่งคั่งของตัวเองก็ย่อมได้

ตัวอย่างเรื่องตัวกูของกูที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความมั่งคั่งยังมีบทต่อไปในหัวเรื่องหน้านะครับ โปรดติดตามตอนต่อไป ในอัตตาของมนุษย์กับความมั่งคั่ง(2)

อัตตาของมนุษย์กับความมั่งคั่ง(2)

ต่อจากตอนที่แล้ว ผมขอออกมาสารภาพก่อนเลยว่าในตอนที่ผมเด็กกว่านี้(อายุประมาณ 22-23 ปี) ผมเป็นคนที่ถือว่าสิ่งที่ตัวเองคิดหรือทำคือสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ ผมชอบสอนน้องสาวผมอยู่บ่อยๆว่าทำไมไม่อ่านหนังสือนี้ละ  ทำไมไม่ลงทุนบ้างล่ะ ทำไมไม่แบ่งเวลาบ้างล่ะ ลักษณะคำพูดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง จริงอยู่สิ่งที่เราสอนเป็นสิ่งที่ถูกต้องในความคิดของเราแต่ของคนอื่นมันไม่ใช่ เราเคี่ยวเข็ญไปก็เปล่าประโยชน์ครับ แนะนำว่าให้ใช้กุศโลบายอื่นที่สร้างสรรค์กว่านี้สอนดีกว่า ผมขอยกตัวอย่างต่อไปเลยละกันสำหรับตัวอย่างของบุคคลที่มีอัตตา

นาย C กุไม่เข้าใจเจ้านายเลยว่ะ ไปให้ไอ A มันทำงานนี้ได้ไงวะ กุว่า A มันไม่ค่อยขยันและไม่ค่อยฉลาดพออ่ะ
นาย D : เห้ย แต่ว่าไอ A มันนอบน้อมและก็ซื่อสัตย์ดีนะ กุว่าก็เหมาะแล้วแหละ
นาย C : กุว่างานนี้ยากเกินสำหรับ A ว่ะ ขนาดกูกูว่ายังทำไม่ได้เลยอ่ะงานนี้

อันนี้เป็นตัวอย่างของคนที่มีสมาธิหรือว่าปัญญาไม่เพียงพอในการจับอัตตาที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวภายใน ลักษณะแบบนี้ก็เหมือนกับคนหลงตัวเองนั้นแหละครับ การหลงตัวเองเป็นสิ่งที่เกิดกับมนุษย์ทุกคนเพียงแต่เราจะจับมันติดหรือปล่าว? ผมขอยกตัวอย่างต่อไปที่แสดงถึงการหลงตัวเองอีกรูปแบบหนึ่ง

นาย X : ผมเซ็งมากเลยครับ ผมไม่เข้าใจว่าผมทำงานทันและทำงานดี ทำงานหนักกว่าคนอื่น แต่ปรากฏว่าผมไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ไอ มันได้เลื่อนตำแหน่งทั้งที่วันๆมันไม่ทำอะไรเลย เอาแต่ประจบเจ้านาย

ตัวอย่างนี้เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์เงินเดือนมากมาย นาย X คนนี้เป็นคนหลงตัวเอง หลงไปว่าตัวเองเก่ง ตัวเองทำดี แต่ถามหน่อยเหอะ จริงเหรอ? ทำงานดีจริงเหรอ? ถ้าดีจริงทำไมไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีล่ะ เลิกหลงตัวเองแล้วไปทำงานให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีจริงเถอะครับ ดีกว่ามานั่งตีโพยดีพาย

สรุปเลยละกัน ผมบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าผมต้องการให้ความรู้เพื่อสร้างความมั่งคั่งไม่ใช่เพื่อการลงทุนอย่างเดียว คนเราอาจจะไม่ต้องลงทุนก็ยังมั่งคั่งได้โดยการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ตัวอย่างข้างบนเป็นลักษณะทางความคิดพื้นฐานในการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หลังจากนั้นความมั่งคั่งก็จะตามมาเอง

Saturday, November 23, 2013

ความรู้ที่ได้จากบทความของผม....นายธรรมสาร เศรษฐพร(sthammasarn.blogspot.com)

เหตุผลที่ผมเริ่มต้น Blog ด้วยหัวข้อนี้เพื่ออธิบายให้ผู้อ่านเข้าใีจสิ่งที่ได้จากเนื้อหาภายในก่อน เนื่องจากความต้องการเนื้อหาที่อยากจะเรียนรู้ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอยากได้สูตรสำเร็จในการสร้างความมั่งคั่ง บางคนอยากรู้ว่าการลงทุนอะไรที่ดีที่สุด บางคนก็อยากรู้ว่าอะไรกันแน่ที่เรียกว่ามั่งคั่ง เป็นต้น

ผมขอบอกไว้ก่อนครับว่าความรู้ที่จะได้จากบทความที่นำเสนอนี้จะไม่มีสูตรสำเร็จในการสร้่างความมั่งคั่ง ผมขอย้ำว่าไม่มีเลย เนื้อหาภายในจะบอกให้เข้าใจความเป็นจริงของโลกเราว่าไม่ได้มีัอะไรได้มาง่ายๆ ทุกอย่างต้องอาศัยความเพียร ความมานะบากบั่น และต้องอดทน บทความจะแทรกด้วยตัวอย่างเหตุการณ์ซึ่งช่วยทำให้เราคิดจินตนาการตามว่าสิ่งที่ผมพูดคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เพียงแต่คุณมองข้ามไป

ทัศนคติที่ว่าทุกอย่างมันยากไปหมดนี่มันถูกแล้วหรือ? ไม่เกี่ยวกับถูกไม่ถูกแต่มันเกี่ยวกับว่าเราเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นบนโลกนี้มากน้อยขนาดไหน อันนี้สำคัญมากครับขอบอก ทำไมถึงสำคัญ?เพราะเราจะได้จัดระบบระเบียบความคิดและทัศนคติของเราให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเมื่อเวลาเราต้องลงทุน ตัวอย่างเช่น เวลาได้ยินคนมาบอกว่าขายของ Online รวยอย่างนั้นอย่างนี้เราจะได้คิดได้ว่า จริงเหรอ?

ผู้อ่านที่เหมาะสมกับความรู้ใน Blog ของผมจะเป็นคนหนุ่มที่กำลังสร้างครอบครัว ที่มีคุณสมบัติเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว พร้อมที่จะเปิดรับสิ่งที่ดูขัดกับสัญชาตญาณเดิมของมนุษย์ พร้อมที่จะถูกขัดเกลา พร้อมที่จะอดทนรอคอยความสำเร็จ ซึ่งอันนี้สำคัญมากครับ การอดทนรอคอยความสำเร็จเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นที่ดีของคนเรา ความอดทนถือว่าเป็นบารมีชนิดหนึ่งในพระพุทธศาสนานั้นก็คือขันติบารมี

ฺเนื้อหาุุภายในบทความจะเกี่ยวข้องกับการสร้างความมั่งคั่งโดยใช้ EQ และเนื้อหาจะไม่หนักมากไม่มีตัวเลขมากมายแต่จะ share ให้รู้ความ simple ของการสร้างความมั่งคั่ง จะไม่มีการสอนเรื่องกราฟ Technical ที่นักลงทุนชอบใช้ในการลงทุนหุ้น หรือสินค้าโภคภัณฑ์ แต่อาจจะมีหนักบ้างในเรื่องของงบการเงินเพราะเป็นสิ่งที่ต้องรู้ในการลงทุนในหุ้นซึ่งเป็นชนิดการลงทุนที่ผมถนัดที่สุด

เมื่อพูดถึงหุ้นผมก็จะบอกอีกแหละครับว่าผมไม่มีนโยบายที่จะบอกว่าหุ้นอะไรดีเพราะฉะนั้นไม่ต้องถามบางคนอ่านตรงนี้แล้วอาจจะคิดว่าผมแรงไปที่กำหนดนโยบายถึงขนาดนี้แต่ผมเห็นว่าสิ่งที่ผมทำคือสิ่งที่ดีที่สุดในระยะยาวของการลงทุนของคนคนหนึ่ง เพราะมันจะทำให้พวกเราขยันที่จะหาความรู้เพิ่มเติมเรื่องการลงทุนซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อทุกคนจริงๆครับ

เหตุผลอีกหนึ่งข้อที่ผมจะไม่บอกตรงๆว่าีุคุณต้องลงทุนในอะไรก็เพราะด้วยเหตุผลทางจริตของแต่ละคนที่ต่างกัน บางคนอาจจะเหมาะกับการลงทุนในหุ้น บางคนเหมาะกับอสังหาริมทรัพย์ บางคนอาจจะเก่งที่จะเปิดธุรกิจของตัวเอง ผมอยากให้ทุกคนคิดให้หนักถึงการลงทุนที่เหมาะกับคุณและพุ่งเป้าไปที่สิ่งนั้น แต่ละคนเก่งไม่เหมือนกัน อย่าเลียนแบบความสำเร็จของคนอื่นเพราะเราไม่ใช่เค้า เราเก่งในแบบของเรา พยายามคิดให้หนักจริงๆว่าสนามรบไหนคือสนามของคุณครับ

สุดท้ายครับก็คือ Blog ของผมเป็นการพูดถึงการสร้างความมั่งคั่งนั่นหมายความว่าผมไม่ได้หมายถึงการลงทุนอย่างเดียว แต่จะพูดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้คุณมั่งคั่ง และจะพูดเพื่อเตือนสติว่าความมั่งคั่งนั้นแท้จริงคืออะไร(แน่นอนเกือบล้าน % เงิน, บ้าน และที่ดินคือสิ่งของแสดงความมั่งคั่งของคนส่วนใหญ่...จริงเหรอ??ไม่มีทรัพย์สินชนิดอื่นที่ดีกว่าเลยเหรอ??)

"เงินไม่ใช่ทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของนักลงทุน เวลาต่างหากเล่า เพราะว่าถึงแม้จะมีเงินเยอะแค่ไหนก็ไม่อาจซื้อเวลาที่ผ่านไปได้"