เรื่องราวหลักที่เกี่ยวข้องกับธรรมะ...นำมาผูกกับจิตวิทยาทางการลงทุน และผูกกับจิตวิทยาด้านการพัฒนาตนเองในด้าน "ใดก็ตาม" นำไปสู่ความมั่งคั่งในระยะยาวท้ายที่สุด
Thursday, June 9, 2016
ทำธุรกิจให้สำเร็จตั้งแต่แรกๆที่เริ่มต้น
คนเรากว่าจะสำเร็จ ส่วนใหญ่มีแผลเยอะครับ
ผมว่าคนหลายคนอยากรวยแต่ไม่เสียสละตัวเองให้มากพอ
คนที่รวยที่เราเห็น...โดยส่วนใหญ่ช่วงเริ่มต้นธุรกิจนี่เขียมมาก..ไม่มีมาฟุ่มเฟือยเยอะๆ...
หรือถึงจะฟุ่มเฟือยก็ฟุ่มให้คนอื่น..จ่ายให้คนอื่นเยอะกว่าจ่ายให้ตัวเอง...
ตัวเองพอลับหลังคนอื่นก็ต้องทนคอยกินข้างแกง ก๋วยเตี๋ยวข้างถนน...
แต่พอกับแฟน กับเพื่อนนี่จ่ายเต็มที่
แต่สังคมเรา..คนส่วนใหญ่จ่ายเพื่อความสุขตัวเองเยอะมาก...
แต่พอจะจ่ายให้คนอื่นหรือช่วยเหลือคนอื่นนี่ควักยากมาก...
หรือถ้าควักช่วยใครก็โพสต์ให้คนอื่นรู้หน่อยว่าเราเป็นคนดีที่ช่วยเหลือชาวบ้านนะ...
แต่คนที่ทำดีแล้วโพสต์ก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าเป็นคนดีไม่จริงนะครับ...
คนแต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน การโพสต์มันอาจเป็น Lifestyle เค้า ไม่ใช่โพสต์เพื่ออวด
ผมเชื่อว่าใครมีจิตใจดีจริงๆแบบที่ไม่หวังให้คนอื่นมาตอบแทน...
ยังไงก็จะมีชีวิตที่มีความสุขแท้จริง...
อาจมีเศร้าหรือเจ็บหรือทุกข์บ้างแต่โดยรวมก็จะมีความสุขกว่าคนอื่น...
เปิดโอกาสตัวเองให้มองเห็นความดีของเพื่อนๆแต่ละคน...
มันอาจเป็นทางลัดที่จะทำให้คนอื่นเห็นความดีของเราเร็วขึ้น
กว่าคนอื่นจะรู้ว่าเราเป็นคนดีบางทีพิสูจน์ตัวเองเป็นปีๆ....
แต่อดทนไว้ครับ...
ให้ดีต่อไป สักวันยังไงคนอื่นจะเห็นแน่นอน
#ศรัทธาไว้ฮะ
Saturday, May 14, 2016
เงินที่ออกจากกระเป๋า...คือค่าใช้จ่ายหรือการลงทุน
คำนิยามของการลงทุนของผมหมายรวมไปถึง ทุกการให้ (ไม่เฉพาะเงิน) ที่พอให้ไปแล้วสร้างทรัพย์สินอะไรบางอย่างให้กับเรา....ขอเน้นว่าต้องให้แล้วเกิด "ทรัพย์สิน"
ทำไมถึงบอกว่าคนเราสามารถลงทุนได้ตลอดเวลาแม้ไม่มีเงิน....คนเราสามารถให้อะไรคนอื่นได้เสมอ....ถึงไม่มีเงินก็อาจให้ "ใจ" "เกียรติ์" "เวลาช่วยผู้คนทำงานส่วนกลางที่ไม่ได้เงิน" เป็นต้น
แต่ในบทความนี้คงเน้นเฉพาะเรื่องการ "ให้เงิน" ซะมากกว่า
คนบางคนลืมไปและจำกัดหนทางในการลงทุนอย่างไม่รู้ตัว....คนชอบซื้อหุ้นก็ซื้อแต่หุ้น...คนชอบซื้อที่ดินก็ซื้อแต่ที่ดิน
บางครั้งเราจ่ายเงินออกไปกับค่าศัลยกรรมเสริมสวย...ผลลัพธ์คือเราก็จะสวยขึ้นจนได้แฟนรวยๆ อันนี้ก็นับว่าลงทุน
บางครั้งเราจ่ายเงินออกไปเพื่อซื้อใจคน...และเมื่อมีคนเยอะแยะติดตัวเรา...คนเหล่านี้แหละที่อาจเป็นกำลังสำคัญต่อการสร้างเงินในอนาคตก็เป็นได้
สัญญาณที่บอกว่าเราลงทุนน้อยเกินไป...คงจะไม่โผล่มาให้เห็นชัดเจนนักในวันที่เรายังหนุ่มๆสาวๆ...แต่พอเราแก่จะเห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างคนที่ลงทุนกับคนที่ไม่ลงทุน โดยดูจาก Passive Income ที่ได้
คนแก่บางคนพอเกษียณแล้วก็มีรายได้น้อยลงมากหรือเกือบแทบไม่มี...ผิดกับคนแก่ที่มีเงินเข้ามาเรื่อยๆ เพราะลงทุนตลอดเวลาก่อนจะเกษียณ
หนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" ถึงพูดว่า " คนรวยใช้เวลาแทบจะตลอดเวลาทำงานเพื่อสร้างทรัพย์สิน แต่คนจนใช้เวลาแทบจะตลอดเวลาทำงานเพื่อสร้างเงิน"
คนที่ทำงานกับบริษัท ก็มักใช้เวลาทำงานทั้งหมดคิดค้นสร้างทรัพย์สินให้บังเกิดขึ้น และพอเกิดทรัพย์สินนั้นขึ้นมาก็ตกเป็นของบริษัทที่เราสังกัดอยู่
มีการลงทุนดีๆ อีกเยอะมากบนโลกถ้าเราเปิดใจ ไม่ปิดโอกาส
คนฉลาดเยอะแยะส่วนใหญ่บนโลกนี้ที่ไม่ได้มีชีวิตดีๆอย่างที่ใจลึกๆต้องการ
เอาจริงๆ โอกาสที่ทำให้ชีวิตดีๆมันผ่านมาเสมอ...อยู่ที่ว่าเราแกล้งโง่ไม่คิดอะไรให้มันเยอะมากพอรึปล่าว....เพราะถ้าเราโง่มากพอก็จะคว้ามันเอาไว้แบบไม่ต้องคิดเยอะเกินไป...
...เท่านั้นเอง
Monday, May 2, 2016
ความสามารถในการรักษาสัญญามีผลต่อ "ความสำเร็จของชีวิต"
เพราะถ้าผมโจมตี มันก็เหมือนว่าผมชมตัวเองว่ารักษาสัญญาเก่งนักเก่งหนา ทั้งที่ตัวผมเองผิดสัญญาอยู่บ่อยครั้งมาก
หน้าที่ของคนคนนึงคือพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้นอยู่เสมอ แต่หน้าที่เราไม่ใช่ไปคาดหวังให้คนอื่นเป็นคนดี....เหตุผลคือเมื่อไหร่ที่มีความคาดหวังเกิดขึ้นในตัว เมื่อนั้นเราจะไม่มีความสุข
พวกเราทำเต็มที่ในเหตุที่จะรวย ส่วนผลที่จะรวยหรือไม่ก็อย่าคาดหวังเยอะ....เพราะพอคาดหวังแล้วไม่ได้ดังหวัง เมื่อนั้นเราจะหมดแรงที่จะพยายามต่อเป็นรอบที่ 2
สัญญาณที่แสดงถึงการผิดสัญญาก็เช่น
*บอกว่าจะกลับกี่โมงแต่ดันกลับช้ากว่านั้น
*บอกว่าจะวนกลับมาซื้อแล้วสุดท้ายไม่กลับมาและไม่แม้แต่จะวนกลับไปขอโทษคนที่เราสัญญากับเค้าไว้
*บอกว่านัดตอนนี้แต่เรากลับมาสายไม่ตรงตามที่นัดไว้
*บอกว่าจะทำยอดขายให้ได้เท่านี้แต่พอถึงเวลาจริงกลับกลายเป็นทำไม่ได้เพราะเราไม่พยายามพอ
*บอกว่าเราจะทำงานจริงจังแล้วหลังจากวันนี้เป็นต้นไป...แต่พอวันพรุ่งนี้ก็เหลวไหลเหมือนเดิม
เรื่องพวกนี้ผมทำมาหมดแล้วครับ ผมเลยเข้าใจว่า มันก็ "ไม่แปลก" ที่เราจะโดนเหมือนกัน
ผมว่าพอเราโดนผิดสัญญา แล้วสิ่งที่ควรทำคืออย่าก่นด่า....ทุกครั้งที่ก่นด่ามันหมายความว่าเราไม่มีสติรู้ตัวด้วยซ้ำว่าเราเองก็ผิดสัญญาอยู่บ่อยๆ (ยกหางตัวเองทางอ้อม)
ย้ำอีกครั้งครับว่า ผมไม่โกรธคนที่ผิดสัญญากับผมอย่างใจจริงครับ ผมเองแค่เรียนรู้และจำเอาไว้ เพื่อบริการแต่ละคนให้แตกต่างกัน คนที่รักษาสัญญากับเราสูงมาก เราจะเห็นในพระคุณอันนั้นมากกว่าคนอื่นก็แค่นั้นเอง แต่คนที่ไม่รักษาสัญญา เราก็แค่รอเค้าได้ว่าจะถึงสักวันนึงที่เค้าพัฒนาตัวเองเป็น "ยอดคน" ที่รักษาสัญญาอย่างโหดๆ
#ใครมันจะเป็นยอดคนตั้งแต่เกิดกันล่ะ เราก็ต้องให้ Second chance ผู้อื่นเสมอแล้วโลกก็จะน่าอยู่จากข้างในใจเรา
#ขอบคุณการเรียนรู้จากการทำอาชีพที่ปรึกษาการเงิน เพราะมันทำให้เราเป็นคนที่มีคุณภาพขึ้นเยอะมาก :)
Sunday, April 17, 2016
ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก
Monday, March 28, 2016
ความรู้ทางการลงทุนที่ได้มาหลังจากเรียน "การวางแผนการเงิน"
คนส่วนใหญ่ เราเองก็รู้ๆอยู่ว่าส่วนใหญ่จะเจ๊งหุ้นหรือไม่ก็ได้กำไรไม่เท่าไหร่หรอก (ในระยะยาวนะครับ)(หมายถึงถ้าเล่นหุ้นตลอด 20-30 ปี) แต่เราเองก็มักจะหลุดหลงคิดว่าเราเดาตลาดได้ หรือไม่ก็ไปเทิดทูนคนที่เดาตลาดได้
เอาจริงๆเบื้องหลังของคนที่เราเทิดทูนว่าเป็น "เทพ" ของการเดาทิศทางหุ้น ถ้าเรารู้เบื้องหลังของเค้านะครับจะรู้ว่าได้กำไรจริงๆ น้อยยยยยยยยยยยยยมากเมื่อเทียบกับคนที่ซื้อขายน้อยครั้งมากตลอด 30 ปีที่ลงทุน
อย่าลืมว่ามนุษย์เรามีแนวโน้มที่จะเล่าเฉพาะเรื่องดีๆ เท่ๆ ของตัวเองให้คนอื่นฟังเท่านั้น จะไม่ค่อยเล่าเรื่องห่วยแตกให้คนอื่นฟังหรอกครับ
ความรู้เหล่านี้ ผมเองคงจะไม่ได้มันมาถ้าไม่ตัด "ความหลงตัวเอง" หรือ "EGO ที่คิดว่าเรารู้แล้วเก่งแล้วออกไป"
ปล.อย่าเข้าใจผมผิดนะครับว่าผมหลงตัวเองที่คิดว่าเราไม่หลงตัวเอง การหลงตัวเองมันเป็นสิ่งๆนึงที่เกิดกับผมก่อนหน้านี้เหมือนกันกับมนุษย์ทุกคน ผมเพียงแต่อยากบอกว่า ฟังคนอื่นเยอะๆครับ เพราะผมเองได้ความรู้จากคนที่ดูเหมือนต่ำกว่าเรา (แต่จริงๆสูงส่งกว่าเรา) เยอะมากในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมานี้
#จบแล้ว
คนที่รวยโหดๆหรือ "รวยจริง" ผมว่าขึ้นอยู่กับปริมาณคนที่เค้าใช้งาน
โดยเฉพาะคนที่ใช้งานคนคุณภาพสูงอย่าง CEO ขั้นเทพให้ทำงานให้เค้าได้ (นักลงทุน) กับคนที่ใช้งานคนที่มีคุณสมบัติ "ความเป็นผู้นำ" ให้ช่วยขยายองค์กรได้ (คนทำธุรกิจเครือข่ายที่มีเถ้าแก่หรือผู้นำคนกลุ่มย่อยให้มาตามเรา)
หนังเรื่องทรอยมีพูดถึงตัวละครตัวนึงที่พูดกับอคิลลิสว่า "บางครั้งเราก็ต้องตามคนบางคนเพื่อที่จะนำคนอีกกลุ่มหนึ่งได้ราบรื่น" (อาจจะไม่ได้พูดแบบนี้เป๊ะแต่ก็น่าจะใกล้เคียงทางด้านความหมาย)
เค้าถึงมีคำพูดว่า "ยิ่งเรามีคุณสมบัติความเป็นผู้นำสูงมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้เราประสบความสำเร็จจริงๆมากขึ้นเท่านั้น"
#จบแล้วคับวันนี้สั้นหน่อยนึง
Thursday, March 24, 2016
สัญญาณที่บอกว่าเรามี "EGO"
Saturday, February 13, 2016
บนโลกนี้เงินซื้อได้ทุกอย่าง
ก่อนจะด่าก็ลองฟังผมก่อนละกันว่ามีเหตุผลมากน้อยขนาดไหน
มุมมองที่ผมมีต่อ "เงิน" คือ;
*เงินซื้อทุกอย่างได้ถ้ามัน "มากพอ" ลองนึกตัวอย่างที่ว่าเราจะซื้อหุ้นหรือกิจการหนึ่ง...เราไปคุยกับเจ้าของแล้วเราเสนอเงินซื้อ "10 ล้านบาท" เจ้าของบอกไม่ได้มีกิจการนี้ไว้ขาย ต่อให้ซื้อ 100 ล้าน "ผมก็ไม่ขาย"...ต่อมาเราเข้าไปใหม่แล้วเสนอ 500 ล้าน เค้าดันขายให้ซะงั้น แล้วไหนบอกว่าไม่ได้มีไว้ขาย
*เราชอบเข้าใจผิดไปว่า...ของที่เราจะซื้อแม่งแพงจัง โดยที่ไม่คิดเอะใจเลยว่า มันแค่เป็นของ "ราคาสูง"
- ถ้าเราถูกเสนอให้ซื้อไม้จิ้มฟันอันนึงราคา 20 บาท แม่งโคตรแพง แต่พอเสนอให้ซื้อที่แถวสีลม 2 ไร่ราคา 1,000,000 บาท แม่งโคตรถูก
- หุ้นราคา 300 บาทต่อ 1 หุ้น บางคนเข้าใจผิดไปว่า หุ้นแพง แต่เอาจริงๆมูลค่าทางบัญชีของกิจการนี้มันตั้ง 400 บาทต่อการซื้อ 1 หุ้น ดังนั้น 300 บาทที่เค้าขายนี่ถูกมาก
- ตั๋วเครื่องบินที่แต่ละคนมาอวดว่าได้ราคาถูกๆ เอาจริงๆ ถ้าเรามองลึกเข้าไปเพื่อหาเหตุผลว่า "ทำไม" มันถูก เราก็จะสังเกตเห็นว่า....ต้องต่อเครื่องไม่ใช่บินตรง....ต้องไปถึงที่เที่ยวตอนกลางคืนทำให้เราเสียเวลาเที่ยวทั้งวันนั้น แล้วพอมาถึงก็ต้องเสียค่าโรงแรมนอนทันทีเลย....บางคนหวังว่าจะนอนบนเครื่องทั้งคืนเพื่อที่พอไปถึงตอนเช้าจะได้เที่ยวได้เลย ในความเป็นจริงวันนั้นเที่ยวไม่ค่อยไหวหรอก หยั่งกับว่าคืนนั้นนอนสบายเนาะ
- ถามจริงๆถ้าเห็นของถูกมากๆจริงๆ เรา "กล้า" ซื้อจริงๆเหรอ? ถามตัวเองดูว่า ถ้าซื้อโฟมล้างหน้าหลอดใหญ่เท่าขา แต่ขาย 100 บาท กล้าซื้อจริงๆเหรอครับ^_^
สรุปสิ่งที่จะสื่อก็คือ อย่ากลัวการเสียตังขนาดนั้นครับ (กลัวได้แต่อย่าให้มันเว่อ) คนที่เสียตังง่ายไม่ได้หมายถึงเค้าโง่ อย่าไปตีความเอาเอง (มนุษย์ชอบตีความหรือเรียกว่า "คิดไปเอง" มากเกินไป เลยทำให้มีความทุกข์)
##ถ้าบอกว่า "ทุกการกระทำของเราอาจจะดูเลวหรือนิสัยไม่ดีนะครับ แต่เอาจริงๆจรรยาบรรณที่เรามีคือ พยายามไม่ทำให้ใครเดือดร้อน" พูดแบบนี้อาจมีคนคิดนะว่าเราแค่พูดให้ดูหล่อๆ แต่เชื่อรึปล่าวว่าผมพยายามแบบนั้นจริงๆ แต่แค่ยังทำไม่ได้ตอนนี้
Sunday, February 7, 2016
บางครั้งพูดจริงแต่เราก็พูดจริง....บางครั้งหลอกก็หลอก....บางครั้งพูดจริงแต่หลอก....บางครั้งพูดหลอก(ให้เค้ารู้เลยว่าหลอก)แต่เอาจริงๆพูดจริง
##ไม่เกิน 8 บรรทัด คนไทยถึงอ่าน(ไม่รวมหัวข้อนะคับ)
##ทำไรให้คนตื่นเต้นสนุกสนานคืองานของกล้วยๆ(ชื่อเล่นผมเอง)
##กวนตีนวันละนิดจิตแจ่มใส555
##ชื่อหัวข้อเหมือนเลวๆ นะแต่สุดท้ายก็พยายามเสมอที่จะไม่ทำให้คนใกล้ตัวเราลำบาก
Saturday, January 30, 2016
ข้ออ้างยอดฮิตติดปาก....ของผู้คนที่ไม่กล้าลงทุนธุรกิจ
"ไม่มีเงิน" อันนี้ใช่มั้ยครับ....น่าจะทายเหมือนกันแหละ
คนจะ "ทำ" ที่ไม่ได้เอาแต่จะคิดหรือพูดอย่างเดียว....ยังไงก็ได้ "ทำ" อยู่วันยังค่ำ...คนที่ไม่ตั้งใจจะทำซะอย่าง ขนาดมีธุรกิจที่ไม่ต้องใช้เงินทุนเยอะ ( เช่น นายหน้า ธุรกิจเครือข่าย ฯลฯ) สุดท้ายก็อ้างเหตุผลอื่นได้อยู่ดี
ผมเป็นนักวางแผนการเงินสายบู๊...เลยทำให้เราไปเรียนรู้เรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมาย บัญชี ภาษี จิตวิทยา ธรรมะ ฯลฯ ทำให้ผมมีความคิดเกี่ยวกับวิธีการแนะนำทางการเงินแบบ "ไม่ปิดกั้น" ทางรวยเร็วของลูกค้าด้วย เพราะถ้าลูกค้าใช้เงินมาวางแผนการเงินกับนักวางแผนการเงินเยอะมากเกินไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้โอกาสรวยเร็วน้อยลงไปมากขึ้นเท่านั้น แต่แน่นอนก็ต้องไม่น้อยเกินไปด้วย ให้ยึดทางสายกลางเข้าไว้
กลับมาที่หัวข้อของเราครับ (หลังจากที่โฆษณาตัวเองไปหน่อย 555)
ปัญหาของการไม่มีเงินลงทุน เอาจริงๆถ้าจะแก้ไขปัญหานี้ก็ไม่ได้ยากมาก แค่หาเงินมาลงทุนเอง โดยทางเลือกหลักๆคือ
1. ตราสารทุน พูดง่ายๆ คือรวบรวมคนที่ "รับความเสี่ยงได้" ส่วนใหญ่จะเป็นคนอายุน้อย ให้เอาเงินมารวมๆกันจนกลายเป็นกลุ่มทุนที่ใหญ่ขึ้น วันแรกที่รวมทุนกันก็ประชุมกันกำหนด "ราคาพาร์" และ "จำนวนหุ้น" ที่จะได้กัน
ถ้าเวลาผ่านไปๆแล้วกิจการดี ราคาหุ้น "ทางบัญชี" ก็จะสูงกว่าราคาพาร์ แต่ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า เวลาเราซื้อขายหุ้น เราจะซื้อขายกันที่ "ราคาตลาด" ซึ่งก็อาจจะสูงหรือต่ำกว่า ราคาทางบัญชีก็ได้ (นี่คือที่มาว่าทำไมถึงเกิดตลาดหลักทรัพย์ที่คนเค้า "เล่นหุ้น" กัน)
2. ตราสารหนี้ พูดง่ายๆคือ "กู้เงิน" นั่นเอง โดยเราจะไปกู้เงินญาติๆ พ่อแม่พี่น้อง แบบไม่เสียดอกเบี้ย หรือพูดง่ายๆคือ "ยืมเงิน" ก็ได้หรือจะกู้แบบกำหนดดอกเบี้ยและวิธีการชำระคืนเงินขึ้นมาเป็น "สัญญา" ให้กับญาติๆ เราซะหน่อยก็ได้ เพื่อที่พวกเค้าจะได้ไม่เสียประโยชน์ และเราก็ไม่ทำตัวลำบากชาวบ้านด้วยการทำให้คนรอบข้างเสียประโยชน์ด้วย ( เสียประโยชน์เพราะเงินก้อนเดียวกันนี้ ญาติๆเราฝากแค่ธนาคาร เค้าก็ได้ดอกเบี้ยตั้ง 2-2.5% แล้วถ้าเป็นญาติที่รับความเสี่ยงได้ เงินก้อนเดียวกันนี้ได้ดอกเบี้ยถึง 10% เฉลี่ยต่อปียังได้เลย(กองทุนหุ้น))
อีกทางเลือกของการกู้เงินคือ กู้จาก "ธนาคาร" ดอกเบี้ยเท่าไหร่อันนี้ขึ้นอยู่กับตกลง
ข้อดีของการกู้ญาติ คือ ดอกเบี้ยถูกกว่า ข้อเสียคือ ถ้าเรากู้น้อยคนเกินไปมันจะมีความเสี่ยงเรื่องการที่ญาติคนเดียวคนนั้น อาจร้อนเงินแล้วอยากเอาเงินเค้าคืน ถ้าเราไม่ทำสัญญาไว้เรื่อง การเอาเงินคืนก่อนกำหนด อาจทำให้เราจำใจต้องคืนเงิน จนเราต้องวิ่งวุ่นหาเงินทุนมาเติม
จบครับจบ^_^
Friday, January 29, 2016
ว่าคนอื่นเยอะ....ตัวเองจะพัฒนาได้ไง
คนว่าคนอื่นไม่ดีหยั่งงู้นหยั่งงี้....เอาจริงๆจะเกิดผล 3 อย่าง.......ที่ผมเห็นๆนะครับ (แต่ไม่ได้บอกว่าเราไม่ควรจะว่าคนอื่นเลยนะ....เรายังเป็นมนุษย์อยู่....มนุษย์ที่ยังไม่บรรลุขั้นสูง ยังไงก็จะว่าคนอื่นบ้างแหละ)
1. ว่าคนอื่นต่อหน้าอีกคนหนึ่งเยอะ.....นอกจากคนนั้นจะรู้ว่าเราขี้นินทาแล้ว....เค้ายังรับรู้ว่าเราเป็นเด็กยังไม่โตด้วย(ถ้าคนนั้นเป็นคนประสบความสำเร็จจะดูคนออกว่า "เชี่ยนี่!ยังไม่ค่อยโต")
2. คนว่าคนอื่น....โดยลึกๆแล้ว ( อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวผู้เขียนนะครับ ขอโทษด้วยถ้าไม่ตรงกับความเห็นคนอ่าน ) คนนี้มักอ้างว่าตัวเค้าเองดีแล้ว....พอคิดว่าตัวเองดีพอแล้ว ลงเอยด้วยการคิดว่าเรามีสิทธิ์ว่าคนอื่นได้
3. และถ้าเค้าคิดว่าตัวเอง "ดีพอแล้ว" อย่างนี้นี้แทบปิดโอกาสทำชีวิตตัวเองให้ดีกว่านี้ไปเลยครับ
ไม่เชื่อผม ก็ลองสังเกตคนที่เค้าประสบความสำเร็จ (หมายถึงประสบความสำเร็จ "จริงๆ" นะ) เค้าจะไม่ค่อยว่าคนอื่นเลยนะ....ยกเว้นไปว่าคนอื่นให้คนสนิทจริงๆ
จบปิ้ง!!!
Monday, January 25, 2016
Sales เก่งมาก กับ "เจ้าของกิจการ"
ผมทำธุรกิจซึ่งถือว่าอยู่ในช่วง "ตั้งไข่" ยังไม่ได้เก่งอะไรครับ แต่เริ่มจะพอรู้ว่า "ไม่ใช่ Sales เก่งทุกคนจะเป็นเจ้าของกิจการได้ประสบความสำเร็จในระยะยาวทุกคน" แต่เจ้าของกิจการทุกคนต่างหากที่ต้องอาศัยความสามารถด้าน "การขาย" เก่งๆ
Salesman เก่งๆอาจจะแค่ขายของเก่ง แต่ไม่สามารถ "ซื้อ" ใจคนได้เก่ง
Sales หลายๆคนแค่ชอบขายนะครับ แต่ไม่ชอบซื้อ (อีกพวกที่เป็นเจ้าของไม่ได้เลยจริงๆคือ "ชอบซื้อของและใช้ตังฟุ่มเฟือย แต่ไม่ชอบขายของ")
คิดจริงๆเหรอครับว่าคนรวยระดับโลกหรือระดับประเทศ เค้าวิ่งเข้าหาแต่ "คนรวย" เพื่อที่จะได้ขายของได้ยอดเยอะๆ................... บางทีเข้าอาจจะปั้น connection รวยๆด้วยตัวเค้าเองก็ได้นะ
เราในฐานะเจ้าของกิจการต้องอึดจริงๆนะครับ อย่าลืมว่าสุดท้ายเป็นเพื่อนกันก็สำคัญกว่าการที่เราต้องรวยเร็วๆขายๆๆๆๆจนเสียเพื่อน......บางทีก็ต้องมองกลับมาที่ตัวเราเองด้วย ว่าทำตัวน่าให้เพื่อนสนับสนุนขนาดไหน??? ผมว่าใช้วิธีพูดแบบนั้นดีกว่า
การถ่ายรูปลง Facebook ว่าเรามาอุดหนุนเพื่อน แล้วเข้าใจผิดไปว่า เราเป็นคนดีขนาดไหนเนี่ยที่ช่วยเพื่อนโปรโมทกิจการ....เพราะสุดท้ายการที่เราทำอะไรเท่ๆแล้วพูดโชว์ออกมา...ความเท่มันจะหายไปเยอะเลย..อย่าลืมว่าการโพสต์ของเราก้ออาจจะแค่อยากดูดี เท่านั้นเอง
จบแล้ว วันนี้เอาสั้นๆพอ^_^
Tuesday, January 19, 2016
Smart Phone จำเป็นจริงๆหรือไม่
จริงๆช่วงปีใหม่ เราเองก็อยากเขียนหัวข้อและเนื้อหาเท่ๆว่า "รอบปีที่ผ่านมา อะไรคือสิ่งที่เป็นสุดยอดความรู้ที่เราได้มันมาแล้วแอบพลิกชีวิตเรานิดนึง"
แต่แค่ช่วงนั้นเราไม่มีอารมณ์พอที่จะเขียนมันครับ
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า หลายคนอาจสงสัยว่า "มึงเอาหัวข้อความจำเป็นของ Smart Phone มาเกี่ยวข้องกับเรื่อง ธรรมะ การลงทุน ความมั่งคั่ง ได้ยังไง"
เกี่ยวครับ เกี่ยวอยู่ 2 ประเด็นทั้งเรื่องทางการวางแผนการเงิน และ ธรรมะข้อคิด
1. เกี่ยวกับธรรมะหรือข้อคิด เอาจริงๆชีวิตผ่านไปเรื่อย เราก็คงเห็นวันที่ "แค่" มือถือธรรมดาก็พอแล้ว Smart Phone เอาจริงๆแล้ว ไม่ได้จำเป็นกับชีวิตหรอก
แต่ถามอีกอย่างว่า ในเมื่อถ้าเทคโนโลยีมันดำเนินมาจนทุกวันนี้แล้วมันทำให้ชีวิตเรา "ดีขึ้น" แล้วทำไมต้องดักดานไม่ใช้มัน การใช้ มือถือที่ฉลาด เอาจริงๆมันก็ไม่จำเป็น แต่ ถ้ามีมันเนี่ยเราก็แค่มีแต้มต่อให้กับชีวิตเราให้เหนือกว่าชาวบ้านที่ใช้มือถือธรรมดา หรือ เท่ากับชาวบ้านที่ใช้ Smart Phone....ประโยชน์มันก็แค่นั้นเอง
คนเราชอบคิดว่าชีวิตที่เป็นอยู่ปัจจุบันอ่ะดีอยู่แล้ว ไม่เห็น "จำเป็น" ต้องเปลี่ยนแปลงเลย
ถ้าดีจริงก็ดีไปครับ แต่ถ้าเราทึกทักไปเองว่าชีวิตเราดีแล้ว อันนี้ตกหลุมพรางแล้วล่ะครับ โลกเราไม่ได้สวยขนาดนั้น
2. มาที่เรื่องวางแผนการเงินบ้าง มือถือ Smart เอาจริงๆก็เหมือน "ประกันชีวิต" ในโลกยุคปัจจุบัน
ประกันชีวิตถูกพัฒนาขึ้นเหมือนกับเทคโนโลยีอันหนึ่งก็ว่าได้ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ใครมีประกันชีวิตก็เหมือนมีแต้มต่อให้กับชีวิตของเราเองอ่ะครับ ในกรณีที่ถ้าถูกแนะนำวิธีซื้ออย่างชาญฉลาด
คนที่ใช้มันเป็นจริงๆ ไม่ใช่คนที่รวยที่สุดในโลกหรือในประเทศไทย.....ไม่ใช่ผู้จัดการกองทุนที่ได้รับรางวัลมากมายในการบริหารกองทุนที่เรียกตัวเค้าเองว่าเป็น "ที่ปรึกษาการเงิน" แต่กลับกลายเป็นตัวแทนประกันที่รู้เรื่องการลงทุน ที่คนหลายคนพยายามหนีเต็มที่
ไม่เคยได้อ่านเรื่องมุมมองของนักลงทุนขั้นเทพอย่าง Warren Buffett ต่อสินค้าประกัน แต่เราอาจเห็นได้จากธุรกิจของ Berkshire ที่หันมาทำธุรกิจที่เป็นผู้รับประกันเอง เท่านี้ก็อาจบอกอะไรบางอย่างกับเราได้ว่า เค้าเองมีมุมมองยังไงกับประกันชีวิต
เราจะวิ่งหนีตัวแทนประกันชีวิตทำไม.....ในเมื่อคนที่เราคบในชีวิตส่วนใหญ่ชอบชวนให้เราใช้เงินมากกว่าเก็บเงิน....ผิดกับตัวแทนที่ชวนให้เก็บเงิน
วันที่เราลำบากหรือป่วยต้องใช้เงินมากๆถามจริงๆมีเพื่อนคนไหนเอาเงินค่ารักษามาให้ โดยที่เราไม่ต้องไปวานญาติหรือพ่อแม่ให้ช่วยหาเงินมาจ่ายค่ารักษาให้ แต่วานแค่คนๆเดียวแล้วก็จบเลย
ขอปิดท้ายความรู้ที่ได้จาก ธรรมะสอนชีวิต เรื่อง 3 เรื่องที่น่าเสียใจในชีวิตครับ....3 เรื่องนั้นคือ
1. พบครูดีแล้วไม่เรียน
2.พบเพื่อนดีแล้วไม่คบ
3.พบโอกาสแล้วไม่คว้าไว้
โดยเฉพาะข้อ 3 โอกาสเป็นสิ่งที่ลอยมาอยู่เรื่อยแหละ โอกาสที่จะเสียเงินเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อให้เราได้มีโอกาสที่จะได้เงินก้อนใหญ่ คิดเอาเองครับว่าหมายถึงอะไร ^_^