Friday, August 21, 2015

กับดักของการพยายามเป็นคนดีต่อผู้อื่น

งวดนี้เป็นเรื่องของธรรมะบ้างครับ เพื่อเป็นสติเตือนใจผู้คนที่เป็นคนดีต่อผู้อื่นแล้วทำให้ลึกๆแล้ว กลายเป็นคนไม่มีความสุขต่อตัวเอง


มนุษย์เรามีสัญชาตญาณลึกๆจริงๆ ที่ต้องการทำให้ตัวเองเป็นคน "ดูดี" ในสายตาคนอื่น ซึ่งถ้าเราทำตัวเป็นคนดีต่อคนอื่นแล้วมันไม่ได้ฝืนตัวเอง มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ แต่ถ้าเราได้รับการขอความช่วยเหลือแล้วเราปฏิเสธไม่ได้ ทั้งๆที่อยากปฏิเสธ กรณีนี้คือ "ปัญหา" แน่ครับ


กรณีศึกษา 1 เรื่องที่เป็นตัวอย่างของการที่เราพยายามเป็นคนดี ผมขอยกตัวอย่างเรื่องนี้ครับ

ผมเองเคยเป็นคนที่มีความต้องการช่วยเหลือคนอื่นอย่างมากในเรื่องการสร้างความมั่งคั่งให้กับผู้คน มันเป็นความเก่งอย่างเดียวเลยก็ว่าได้ที่ผมสามารถให้ความรู้เรื่องการบริหารเงิน

ผมเองพยายามนำเสนอและจัดหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนอื่นแต่คนนั้นเค้าไม่เชื่อเรา....มันทำให้ผมเคยเป็นคนที่คิดมากว่า "โอ่ย!! อะไรวะเนี่ยคืออุตส่าห์แนะนำสิ่งที่ดีแต่ดันมาเข้าใจกูผิดซะงั้นว่ากูจะโน้มน้าวขายของ"

กับดักของคนที่หวังอะไรดีๆให้คนอื่น มันคือการผิดหวังและรู้สึกยอมแพ้

"ช่างแม่ง ไม่เอาแล้วเว่ย ไม่เห็นต้องแคร์" คำพูดพวกนี้แหละคือการบ่งบอกว่าเรากำลัง "ยอมแพ้"

คนเรามันยอมแพ้อยู่เรื่อยๆในหลายเรื่องแหละ เพียงแต่แค่ไม่อยาก "ดูไม่ดี" เลยไม่ยอมรับว่าเค้ายอมแพ้อยู่

ผมว่าคนดีไม่ดีมันวัดกันยากมาก

คิดอย่างไรบ้างถ้าสมมุติเราเห็นผักติดฟันเพื่อน แล้วเรากลัวว่าพอเราบอกเค้าไปแล้วเค้าจะรู้สึกไม่ดี เอาจริงๆถ้าเราไม่บอกเค้านี่แหละ เป็นการฆ่าเค้าทางอ้อม.....สรุปเพื่อนที่เตือนเราหรือเพื่อนที่ไม่เตือนเรา คนไหนคือคนดีครับ ถามง่ายๆ^^


Blog ที่เขียนอยู่นี่อาจจะเหมือนว่าผมบ่น...แต่ลองมองอีกมุมครับว่าผมแค่ยอมรับว่าตัวเองเคยเป็นอย่างนั้น และการที่ผมยอมรับและพูดมันออกมาเนี่ย จะดูดีไม่ดีในสายตาคนอื่นรึเปล่า เอาจริงๆครับคือไม่เห็นต้องแคร์เลยว่าคนอื่นจะคิดยังไง


แค่เราทำสิ่งที่เราเชื่อว่ามันดีต่อคนอื่นแล้วเลิกสนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไง เท่านี้ผมมองว่าเราก็กลายเป็นคนเกือบสมบูรณ์แบบได้แล้ว


#พักเรื่องหุ้นบ้าง
#ไม่ใช่เทพหุ้นครับ...ผมขาดทุนหุ้นเยอะมากในช่วงหุ้นขาลงที่ผ่านมา (แค่เราเสียให้น้อยแต่ได้ให้มาก)



Wednesday, August 19, 2015

YOU MAKE YOUR OWN DECISION!!!

1 ในทักษะที่สำคัญยิ่งกว่าดวงและการคาดการณ์อนาคตที่แม่นยำของนักลงทุน สำหรับผมแล้วมันคือ "การตัดสินใจ"


วันนี้นึกครึ้มอยากเขียน blog หลังจากที่ได้ดูหนังเรื่อง "Inside out" ว่าแล้วก็วิ่งไป Family mart ใกล้บ้านซื้อเบียร์ช้างมากระป๋องนึง กินเข้าไปปุ้บก็ถึงจุดสูงสุดที่อารมณ์ศิลปินมาเลยทีเดียว


ผมว่ามนุษย์โลกเราน่าจะเป็น 1 ในสิ่งมีชีวิตระดับจักรวาลที่สมองดีที่สุด (ถ้ามีมนุษย์ต่างดาวให้เปรียบเทียบระดับสมอง) และสมองเองก็เป็นอวัยวะที่มหัศจรรย์มากที่สุดเลยครับ มากจนเราจินตนาการไม่ออกเลยว่าการทำงานของสมองมันเป็นยังไงกันแน่ ซึ่งการทำงานของมันถึงขนาดที่ทำให้เราทำนู่นทำนี่โดยเราไม่รู้ตัวว่าทำอยู่ได้เลย


ก่อนหน้านี้ 1 วัน ผมดู 50 Shades of Grey มีประโยคนึงครับที่แม่ของนางเอกพูดกับนางเอก หลังจากที่นางเอกร้องไห้ในโทรศัพท์ให้แม่ได้ยิน
"ลูกต้องสัญญานะว่าลูกจะเก็บไปคิดตัดสินใจว่าจะมาหาแม่รึปล่าว?"


ดูผิวเผินคำพูดนี้เหมือนไม่มีอะไรครับ แต่ลองสังเกตในชีวิตของเราดูว่า "กี่ครั้งที่เราไม่ได้แม้แต่จะเริ่มเอาเรื่องที่คนถามให้เราตัดสินใจ มาคิดด้วยเหตุผลจริงๆก่อนที่จะตัดสินใจ?" แม่นางเอกรู้ถึงจิตใจมนุษย์ดีเลยว่าถ้าในอนาคตนางเอกไม่มาหาเนี่ยก็เพราะ "ตัวเองนั่นแหละ" ที่ไม่ยอมย้ำเตือนว่าให้ตัดสินใจว่าจะมาหรือไม่มาหา.....นางเอกอาจไม่ไปหาไม่ใช่เพราะตัดสินใจว่าจะไม่ไปหา แต่เธอแค่ไม่เอาเรื่องที่จะไปหามาตัดสินใจต่างหาก!!!


Inside Out พูดถึงเสียงในหัวเราเอง ซึงเสียงพวกนี้แหละมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงมากๆ ต่อการใช้ชีวิตของเรา ผมยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่า ผมเองเคยมีเสียงเหมือนกัน เช่น
"ทำไมเค้าไม่เชื่อเราทั้งๆที่เราหวังดี"
"ไปขายเพื่อนคนนี้ เราล่ะกลัวจังเลยว่า เราอาจเสียเพื่อน"
"ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะขายคนนี้ได้"
"ทำไมมึงไปกันแล้วไม่ชวนกูวะ นี่กูไม่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มรึยังไง"
"รู้ทั้งรู้ว่าเราขายของชิ้นนี้แต่กลับไม่แคร์เราเลย ดันไปซื้อกับคนอื่นซะงั้น"


ผมโชคดีที่จับติดเรื่องพวกนี้ออกเลยสามารถแก้ปัญหาของชีวิตตัวเองได้เยอะมาก (ปล่อยวางและให้อภัยคนอื่น)....ตัวอย่างของเสียงในหัวแบบอื่นๆ  เช่น
"เห้ย!! มันก็แค่มาพูดโน้มน้าวเราแหละวะอย่าไปเชื่อมัน"
"ถ้ากูซื้อไรจากมันกูจะเหมือนโดนหลอกป่าววะ?"
"มันได้อะไรจากกูป่าววะ"
"ขายตรงอีกแหละ"
"ที่ปรึกษาการเงินมันคือตัวแทนประกันแน่ๆเลย"


คนเราไม่ตัดสินใจด้วยเหตุผลจริงๆก็เพราะเราไปฟัง "เสียงในหัว" ก่อนที่จะฟังเรื่องที่เค้าถามให้เราตัดสินใจ


หลังจากกระบวนการตัดสินใจผ่านไปแล้ว สิ่งที่จะทำให้เรากลายเป็นสุดยอดคนมากขึ้น คือการ "ยอมรับ" อย่างใจจริงถึงผลลัพธ์ของการตัดสินใจนั้นไม่ว่าจะยังไงก็ตาม


คนส่วนใหญ่พอเกิดผลลัพธ์แย่ๆจากการตัดสินใจของตัวเอง ก็เริ่มตีโพยตีพาย บ่นว่านู่นนี่นั่น แต่ไม่เคยบ่นตัวเองเลย เค้าเรียกกิจกรรมที่ได้จากการบ่นก็คือ "การผลักภาระความรับผิดชอบให้คนอื่นหรือสถานการณ์อื่นๆที่บังเอิญมากระทบ" เช่น
"หูย รู้งี้ซื้อหุ้นตัวนั้นดีกว่า" 
"รู้งี้ซื้อ Health Insurance ไว้ก่อนที่จะป่วยดีกว่า"
"โธ่!! ถ้าไม่มีระเบิดนะ หุ้นที่เราพึ่งซื้อเมื่อวานคงไม่ร่วงลงมาแบบนี้หรอก"
"เนี่ย!! ดูซิที่หนูขับรถไม่เป็นซะทีก็เพราะว่าแม่นั่นแหละ ที่ไม่ยอมเปิดโอกาสให้หนูขับรถ"
"ผมทำงานพลาด เพราะพี่คนนั้นเค้าทำงานไม่เป็นและไม่ให้ความร่วมมืออ่ะ"


ผมมองว่าการตัดสินใจที่ดีเป็นคุณสมบัติชั้นยอดของการเป็นนักลงทุน เวลาเราลงทุนเราคงต้องถามตัวเองว่า
"เราตัดสินใจแล้วหรือยังว่าจะเพิกเฉยในวันที่หุ้นกำลังตกๆ  หรือว่า  เราเพิกเฉยไปกับการที่จะเอาเรื่องที่ว่านี้มาตัดสินใจว่าจะเพิกเฉยรึเปล่าด้วยซ้ำ"  


เป็นกำลังใจให้ทุกคน ในวันที่บรรยากาศการลงทุนแย่ๆครับ^^
+++ต่อจากนี้จะไม่บอกหุ้น เพราะหุ้นดีแต่ตัดสินใจไม่ดี ก็ไม่เกิดประโยชน์ครับ อ่านเรื่องกับดักของการตัดสินใจ

+++ผมเป็นนักวางแผนเรื่องเงิน ผมช่วยเพื่อนผมไม่ได้จริงๆครับ กับการพยากรณ์ตลาดหุ้นให้แม่นยำในระยะสั้น