Friday, September 25, 2015

ทฤษฎี "ต้นทุนคนเราเท่ากันทุกคน"

ผมคิดทฤษฎีนี้เอาเองครับ อาจจะไม่เชิงเป็นทฤษฎี แต่มีความเป็นความเห็นส่วนตัวของผมเองมากกว่า^^


ความคิดที่ว่า "ต้นทุนของเรามันเท่ากันทุกคน" อันนี้ผมเจอมากับตัวและอยากบรรยายมันออกมาให้ฟังครับ


ถ้าในโลกที่ "ตัวเงิน" เท่านั้นที่เป็นตัววัดต้นทุนเก่าเรา โลกนี้จะตรงข้ามกับโลกที่ผมจะพูดโดยสิ้นเชิง


ลองสังเกตเด็กเจนเนอเรชั่นปัจจุบัน ที่ทำงานมาแค่ระยะเวลาไม่นานมานี้(ปัจจุบันผมอายุ 29 ปี) เด็กยุคนี้ในสังคมของผมเอง นับได้ว่าเป็นเด็กที่พ่อแม่รวยซะส่วนใหญ่ เราๆท่านๆเกิดมานี่แทบจะไม่เคยเห็นช่วงเวลาที่ทางบ้านลำบากซักเท่าไหร่เลย อย่างน้อยๆ เราเองยังจำไม่ได้เลยว่า "เคยลำบาก"


ส่วนใหญ่ถ้าวัดแค่เงินอย่างเดียว จะเห็นว่า "พวกเราแม่งมีทุนเยอะมากเลยว่ะ ชีวิตดี๊ดี Slow life สบายๆ"


โลกของผม ผมเองจะนับเอาสิ่งหนึ่ง มาเป็นต้นทุนเก่าของเราด้วย นั่นก็คือ "แรงบันดาลใจ"


พ่อแม่เรารวยหรือมีฐานะดีใช้ได้ ถามจริงๆเถอะว่า...พอเราทำงาน  เราเองจะมีจังหวะที่คิดว่า อยากทำงานหนักๆเพื่อให้มีเงินเยอะขึ้นมาเลี้ยงพ่อแม่ รึปล่าว.....คำตอบจากการถามจริงๆ และตอบอย่างไม่หล่อ คือ "เราไม่ได้มีความจำเป็นหรือต้องการเลยที่จะหาเงินเพื่อมาให้เงินเดือนพ่อแม่"


มีเงินเยอะเป็นต้นทุนก็จริง แต่ไม่มีแรงบันดาลใจ หรือ เหตุผลของการหาเงิน เท่านี้ก็จบเห่(คนนั้นก็จะมีต้นทุนอยู่ชนิดเดียวคือเงิน)


แต่สำหรับคนที่ทางบ้านไม่ได้รวย....สิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนั้น คือเค้าจะได้แรงบันดาลใจในการหาเงินมาทดแทนเงินทุนที่เค้ามีน้อย


แรงบันดาลใจสำหรับบางคนก็ชัดเจนมากเหลือเกิน มากจนไม่ต้องเสียเงินอะไรสักบาทในการตามหาแรงบันดาลใจที่แท้จริง


สำหรับคนที่ไม่มีแรงบันดาลใจ แต่กลัวไม่หล่อไม่สวย ก็จะคิดว่าตัวเองอยากได้นู่นนี่นั่น และไปเข้าใจผิดว่านั่นแหละคือแรงบันดาลใจที่แท้จริง


ความเห็นของผมคือ "มีแต่แรงบันดาลใจจากก้นบึ้งหัวใจที่แท้จริงเท่านั้น" ที่จะทำให้เรามีแรงขับดัน


ตัวผมเองไม่มีแรงบันดาลใจเลยยยยย

ตอนแรกคิดว่า "การไปท่องเที่ยว" แต่ก็ไม่แรงพอ คิดว่า "บ้าน" ก็ไม่แรงพอ เพราะพ่อแม่มีบ้านมากกว่า 1 หลังอยู่แล้ว พอคิดว่า "รถ" ก็ไม่ใช่อีก เพราะที่บ้านมีรถให้ใช้ พูดง่ายๆก็คือ นิสัยสมถะหรือประหยัดนั่นแหละ กลับกลายเป็นหอกทิ่มแทงชีวิตเราอยู่


ปัจจุบันนี้ผมเองยังหาแรงบันดาลใจแท้จริงไม่เจอครับ วิธีการของผมที่กำลังใช้อยู่คือ ใช้เงินที่เรามีมา "ลงทุน" หนักๆในการหาแรงบันดาลใจ และเรานำเงินนั้นไปจ่ายให้คลอบคลุมพื้นที่หลายๆด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านมืด และสว่าง.....ถ้าผมโชคดีและยังมีวาสนาที่จะรวยและประสบความสำเร็จ เงินผมคงไม่หมดซะก่อนที่จะหาแรงขับนั้นเจอ


ขอเป็นกำลังใจให้คนที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ยังหาแรงขับเคลื่อนที่จะดึงเราออกจาก Comfort Zone ไม่ได้นะครับ


การออกจาก Comfort Zone คือการที่เราทำสิ่งใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ ให้มันแตกต่างไปจากวันก่อนหน้าที่เราจะประสบความสำเร็จ......เราไม่ประสบความสำเร็จก็เพราะใช้วิธีการใน Zone เดิมไง เราต้องเปลี่ยนวิธีการและ "เด้ง" ออกจาก Zone สบายของเรา เพื่อที่จะเปลี่ยนตัวเองให้ประสบความสำเร็จ


อย่าลืมครับว่า มีแต่ "แรงบันดาลใจแท้จริงเท่านั้น" ที่จะทำให้เราออกจาก Zone สบายของเราได้


#คนมีปัญหาเรื่องเงินก็เพราะยังบริหารเงินด้วยวิธีเดิม เพราะฉะนั้นไปหาวิธีการบริหารเงินแบบใหม่ๆนะครับ ถ้าอยากไม่มีปัญหาเรื่องเงิน
#แค่นี้เอง


Thursday, September 24, 2015

ความประมาทเป็นหนทางสู่หายนะ

โลกของการลงทุน จริงๆผมมองว่า มีหลายปัจจัยมากที่จะตัดสินว่า คนคนนึง "ชนะ" ในเกมการลงทุนรึเปล่า


มีตัวอย่างให้เห็นเยอะแยะมากมายที่ คนมีเงินและก็ทรัพย์สินเยอะแยะ สุดท้ายต้องมาเจ๊งและสูญเสียเงินมากมายมหาศาล...แต่สังคมเราชอบอ้างว่า "เค้าลงทุนอะไรก็ประสบความสำเร็จนิ มันเพราะเค้ามีเงินทุนเยอะ"


คนส่วนใหญ่ไม่เคยนึกถึงวันที่คนรวยคนนั้นไม่ได้มีเงินเลย เผลอๆมีเงินเมื่อคิดเงินเฟ้อออกไปแล้วน้อยกว่าเงินของเราๆท่านๆในปัจจุบันซะอีก


ประเด็นคือเรามองแค่เงินหรือทรัพย์สินที่เรามีวันนี้ เราเองสามารถทำให้เงินเรา "โตเร็ว" กว่าคนที่รวยอยู่แล้วได้หรือเปล่า........ตังหากล่ะ........ ไม่ใช่อ้างว่าเค้ามีทุนเยอะเลยลงทุนง่ายกว่าเรา เหตุผลนี้สำคัญมาก....เป็นตัวบอกเราเลยว่า "อย่าลงทุนเพราะเห็นว่ารายใหญ่ทำอะไร" เช่นเห็นเค้าซื้อ Biglot ที่ราคานี้ก็เข้าใจว่าเป็นราคาที่ดีแล้ว แมงเม่ารายเล็กอย่างหลายๆคนก็แห่ซื้อตามๆกันไป อะไรทำนองนี้ อย่าลืมว่านักลงทุนไม่ได้ "โง่" คนที่ซื้อ Biglot อาจจะคิดผิดเมื่อเทียบกับคนที่ตัดสินใจขาย Biglot ก้อนนั้นให้กับคนซื้อก็ได้


การไม่ประมาท คือนิสัยที่ใช้ได้ทั้งชีวิตจริง และ โลกของการลงทุน


ผมเองเคยอ่านบทความจาก (ขออนุญาตเอ่ยที่มาของบทความ) Thaipublica ที่กล่าวถึงเรื่อง "ทำไมคนดีถึงนอกใจ" (คลิกตรงนี้เพื่อพาไปที่ Linkเป็นบทความที่สุดยอดมากจริงๆ


+ผมไม่คอรัปชั่นแน่ๆ ถึงลูกผมจะขับรถชนคนตายแบบคนในข่าวนั่น ผมก็จะไม่ติดสินบนเจ้าพนักงานแบบนั้นหรอก
+ผมไม่นอกใจชัวร์ 
+คนก่อเหตุนี่เลวจริงๆ ไม่รู้ว่าใจเค้าทำด้วยอะไรถึงได้ทำแบบนี้ได้ลงคอ

3ตัวอย่างที่ว่าคือคำพูดของคนดีทั้งหลายครับ  เป็นคนดีมากเลยที่กล้าพูดแบบนั้นได้ ติดตรงที่ว่าเค้าเป็นคนดีที่ประมาทไปนิดนึง.........เค้าแค่ไม่อยู่ในสถานการณ์ของคนที่คอรัปชั่น    คนที่นอกใจ    และคนที่ก่อเหตุ เค้าก็เลยพูดได้ครับ


ในโลกของการลงทุน ผมยกแค่ตัวอย่างเดียวคือ คนที่มั่นใจอย่างที่สุด กับความสามารถในการคาดการณ์ทิศทางตลาด


เอาจริงๆ เราไม่มีทางรู้เลยนะครับว่าตลาดมันจะขึ้นหรือลง หรือยังไงกันแน่ ตัวอย่างที่เราพึ่งเห็นกัน เมื่อไม่นานมานี้ก็คือ เหตุระเบิด ที่อยู่ดีๆก็เกิดขึ้นมาเฉยเลย จนทำให้ตลาดหุ้นที่ไม่ใช่ว่าทรงไม่ดีอะไรนะครับ แต่กลับหัวทิ่มรุนแรงเหมือนช่วงที่ผ่านมา (สิงหาคม ปี 2558)


ตลาดอยู่ดีๆก้อประเมินกันว่า "ราคาหุ้นถูกมากแล้ว" หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงทีมงานบริหารเศรษฐกิจของประเทศ (กันยายน ปี 2558) ทั้งที่จริงๆแล้วแค่เปลี่ยนหน้าผู้บริหารแปบเดียวเอง ผลงานยังไม่ทันออกมาให้เห็นเลย


ผมยังคงยืนยันคำเดิมว่า "ไม่มีใครที่เดาตลาดได้ว่าจะขึ้นหรือลง" มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกตรงที่พวกเรา "ชอบ" หาทฤษฎีเดียวที่สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์ และมนุษย์ทุกคนเป็นโรคจิตที่ชอบตีความและคาดการณ์อะไรๆโดยไม่รู้ตัวเสมอ ทั้งที่เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นมา ไม่ได้ มีความจำเป็นต้องตีความหรือคาดการณ์ให้มันยุ่งยากเลยแม้แต่นิดเดียว คนโง่ๆซื่อบื้อๆก็สามารถลงทุนได้ดีกว่า คนที่พยายามหาเหตุผลว่า "ทำไมหุ้นตก" ได้ง่ายๆเลย


#วางแผนเงินกันให้ดีผมว่าสำคัญและรวยง่ายกว่าวางแผนลงทุนให้ปวดสมอง
#ขอให้โชคดี^^








Sunday, September 13, 2015

Ego...กับเรื่อง "กบในกะลา"

Blog วันนี้บอกได้เลยว่าเป็นเรื่องของธรรมะ แต่อาจจะมีเนื้อหาด้านการลงทุนบ้างในช่วงท้าย


คนทุกคนมีจุดอ่อน เป็นเรื่องที่ไม่ผิดอะไรขอแค่ "ยอมรับ" ว่าเรามีจุดอ่อน  การยอมรับว่าเรามีจุดอ่อนอะไรเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก เพราะทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นอัตโนมัติเลย โดยที่เราไม่รู้ตัวว่า "เราไม่เก่งอะไร" และเราไม่อยากยอมรับเรื่องที่ทำให้เรา "ดูไม่ดี" หรอกครับ


จุดอ่อนของคนแต่ละคน...ถ้ามองในแง่ดีคือเปรียบเสมือนดาบที่มันมี 2 คม จุดอ่อนหนึ่งอาจเป็นคมดาบที่คมมากๆ ถ้าเราเอาด้านคมมาใช้ แต่ก็ทื่อสุดๆถ้าใช้ผิดฝั่ง ตัวอย่างเช่น ผมเองเป็นนักคิดที่คิดได้ลึกซึ้งมาก ซึ่งข้อดีของมันคือคิดอะไรได้ซับซ้อนและลึกซึ้ง แต่ จุดอ่อนของคนที่คิดได้คิดดีคือ การไม่ค่อย "ทำ" เพราะคิดอะไรอย่างฉลาดในสมองของเราเยอะจนไม่ได้ทำอะไร


อย่าหล่อ และก็อย่าดูดีมาก ลองซื่อสัตย์กับตัวเองดู สุดท้ายเราอาจคิดหาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ที่จะพัฒนาตัวเอง ในโลกของเราเองเลยก็ได้


จุดอ่อนอันหนึ่งที่กลับเป็นคุณสมบัติที่เด่นได้ถ้าเอาด้านคมมาใช้คือ คนที่โง่และสมองช้า คนกลุ่มนี้ที่เลือกเอาด้านคมของดาบมาใช้คือเค้าจะกลายเป็นคนไม่มี Ego เป็นเหตุให้ฟังทุกคนที่สอนและนำเสนอ แต่ถ้าเค้าเลือกเอาด้านทื่อมาใช้ก็จะกลายเป็นคน "โง่แล้วอวดฉลาด" ต้องระวังมากๆเลยครับ (ผมเป็นคนซื่อบื้อมากๆๆๆ โชคยังดีที่ไม่ค่อยมี Ego เลยพอจะเอาตัวรอดไปวันๆได้)


ในทางพุทธไม่เคยใช้คำว่า "ฉลาด" กับ "ปัญญา" มาเป็นคำเดียวกันเลย


เรื่องราวของคนมีปัญญา ก็อาจจะเปรียบเปรยได้กับเรื่องราวของ "กบตัวนึง" ที่คอยกระโดดออกจากกะลาเล็กๆมาอยู่ใต้กะลาอันใหญ่กว่า กบตัวที่มีปัญญา ก็จะหาทางกระโดดออกจากกะลาที่ดูเหมือนใหญ่แล้ว แต่ก็ยังหาทางกระโดดออกมาได้อยู่เรื่อย กบตัวนั้นจะเลิกค้นหาทางออกของกะลาอันนึงก็ต่อเมื่อกบรู้สึกว่า "กูฉลาดมากพอแล้วว่ะ" พอๆๆๆ ไม่จำเป็นต้องหาทางกระโดดอีกแล้ว


ขอยืมคำพูดในโฆษณาเบียร์สิงห์ ว่า "ถามตัวเอง ถ้าเป็นคนเก่ง จะเก่งกว่านี้ได้มั้ย ถ้าเป็นคนดี จะดีกว่านี้ได้อีกแค่ไหน"


ชีวิตคนเรามันก็ไม่มีอะไรมาก แต่ในความคิดของผมเองคิดว่า ชีวิตคงขาดสเน่ห์ ถ้าเรารู้และเก่งพอที่จะไม่ฟังและก็เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม


ผมเองเคยลงทุนหุ้นด้วยตัวเองมาก่อนที่จะทำธุรกิจ "ที่ปรึกษาการเงินส่วนบุคคล" ก่อนทำงานนี้ผมเองเคยคิดว่าความรู้เรื่องเงินของผมเองน่าจะอยู่ในระดับต้นๆก็ว่าได้ ถ้าจำกันได้ ผมเองเคยโพสต์หล่อๆว่า "ผมเลือกที่จะทำงานอะไรที่เราสามารถเป็นที่ 1 ในล้านคนได้ "  มาวันนี้ผมเองคงไม่กล้าพูดคำนั้น เพราะคนที่เก่งกว่าผมมีเยอะแยะมากมายเหลือเกิน


ขอจบท้ายด้วยคำว่าอย่าหล่อ(หรือสวย) มากครับ ยอมรับบ้างว่าเรามีข้อเสียยังไง
+++คนทำบุญหรือทำดีให้เราเห็นก็อาจจะแค่ "อยากดูดี"
+++คนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นก็อาจจะแค่ "อยากดูดี"
+++คนที่ไม่อยากบอกว่าตัวเองขายตรงหรือปิดการขายแบบ Force ลูกค้า ก็แค่เพราะว่า "ไม่อยากดูไม่ดี"
+++คนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองกำลัง "ยอมแพ้" อยู่ด้วยการพูดอยู่บ่อยๆว่า "ปลงแล้ว" ก็แค่พูดให้ตัวเอง "ดูดี"
+++คนที่มี Ego ชัดๆแต่กล้าบอกว่าตัวเอง "ไม่มี Ego นะ" ก็แค่พูดให้ "ดูดี"
+++คนที่บอกว่าตัวเองเป็นคนดี อันนี้คิดเอาเองครับว่า คนคนนี้จะ "น่ากลัวขนาดไหน"
+++คนที่บอกว่าไม่กลัวเมียหรือไม่มีชู้หรือไม่คอรัปชั่น คนคนนี้จะเป็นยังไงดีน้าาา
+++อ้อ!!! แล้วก็อย่าสับสนระหว่าง คนที่คอยพัฒนาตัวเอง กับ คนที่พอเพียง นะครับ เรื่องนี้น่ากลัวมาก เพราะคนที่เค้าไม่อยากพัฒนาตัวเอง มักจะอ้างว่า "แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว"
+++สุดท้ายอันนี้เจ๋งมากครับคือคนที่ขายประกันแต่บอกกับคนอื่นว่าเป็น "ที่ปรึกษาการเงินส่วนบุคคล" ก็แค่อยาก "ดูดี" ขึ้นมาบ้างเท่านั้นแหละครับ


##ที่ปรึกษาการเงินไม่ใช่คนที่เดาทิศทางหรือเดาอนาคตได้เก่งเลย คนที่ประสบความสำเร็จทางด้านการลงทุน ในความคิดผมคือ เค้าน่าจะไม่เคยเดาตลาดหุ้นอย่างที่กูรูหรือนักวิเคราะห์เค้าทำกัน เราเองทำได้แค่เผื่อไว้ว่า "ขึ้นก็ดีหรือจะลงก็ดี" เท่านั้นเอง ไม่ต่างอะไรกับธรรมะของเรา