Saturday, January 30, 2016

ข้ออ้างยอดฮิตติดปาก....ของผู้คนที่ไม่กล้าลงทุนธุรกิจ

คืออะไรให้ทายก่อน.....ผมเชื่อว่าแทบจะทุกคนที่อ่านหัวข้อนี้แล้วจะทายถูก


"ไม่มีเงิน" อันนี้ใช่มั้ยครับ....น่าจะทายเหมือนกันแหละ


คนจะ "ทำ" ที่ไม่ได้เอาแต่จะคิดหรือพูดอย่างเดียว....ยังไงก็ได้ "ทำ" อยู่วันยังค่ำ...คนที่ไม่ตั้งใจจะทำซะอย่าง ขนาดมีธุรกิจที่ไม่ต้องใช้เงินทุนเยอะ ( เช่น นายหน้า ธุรกิจเครือข่าย ฯลฯ) สุดท้ายก็อ้างเหตุผลอื่นได้อยู่ดี


ผมเป็นนักวางแผนการเงินสายบู๊...เลยทำให้เราไปเรียนรู้เรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมาย บัญชี ภาษี จิตวิทยา ธรรมะ ฯลฯ ทำให้ผมมีความคิดเกี่ยวกับวิธีการแนะนำทางการเงินแบบ "ไม่ปิดกั้น" ทางรวยเร็วของลูกค้าด้วย เพราะถ้าลูกค้าใช้เงินมาวางแผนการเงินกับนักวางแผนการเงินเยอะมากเกินไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้โอกาสรวยเร็วน้อยลงไปมากขึ้นเท่านั้น แต่แน่นอนก็ต้องไม่น้อยเกินไปด้วย ให้ยึดทางสายกลางเข้าไว้


กลับมาที่หัวข้อของเราครับ (หลังจากที่โฆษณาตัวเองไปหน่อย 555)


ปัญหาของการไม่มีเงินลงทุน เอาจริงๆถ้าจะแก้ไขปัญหานี้ก็ไม่ได้ยากมาก แค่หาเงินมาลงทุนเอง โดยทางเลือกหลักๆคือ


1. ตราสารทุน พูดง่ายๆ คือรวบรวมคนที่ "รับความเสี่ยงได้" ส่วนใหญ่จะเป็นคนอายุน้อย ให้เอาเงินมารวมๆกันจนกลายเป็นกลุ่มทุนที่ใหญ่ขึ้น วันแรกที่รวมทุนกันก็ประชุมกันกำหนด "ราคาพาร์" และ "จำนวนหุ้น" ที่จะได้กัน

ถ้าเวลาผ่านไปๆแล้วกิจการดี ราคาหุ้น "ทางบัญชี" ก็จะสูงกว่าราคาพาร์ แต่ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า เวลาเราซื้อขายหุ้น เราจะซื้อขายกันที่ "ราคาตลาด" ซึ่งก็อาจจะสูงหรือต่ำกว่า ราคาทางบัญชีก็ได้ (นี่คือที่มาว่าทำไมถึงเกิดตลาดหลักทรัพย์ที่คนเค้า "เล่นหุ้น" กัน)



2. ตราสารหนี้ พูดง่ายๆคือ "กู้เงิน" นั่นเอง โดยเราจะไปกู้เงินญาติๆ พ่อแม่พี่น้อง แบบไม่เสียดอกเบี้ย หรือพูดง่ายๆคือ "ยืมเงิน" ก็ได้หรือจะกู้แบบกำหนดดอกเบี้ยและวิธีการชำระคืนเงินขึ้นมาเป็น "สัญญา" ให้กับญาติๆ เราซะหน่อยก็ได้ เพื่อที่พวกเค้าจะได้ไม่เสียประโยชน์ และเราก็ไม่ทำตัวลำบากชาวบ้านด้วยการทำให้คนรอบข้างเสียประโยชน์ด้วย ( เสียประโยชน์เพราะเงินก้อนเดียวกันนี้ ญาติๆเราฝากแค่ธนาคาร เค้าก็ได้ดอกเบี้ยตั้ง 2-2.5% แล้วถ้าเป็นญาติที่รับความเสี่ยงได้ เงินก้อนเดียวกันนี้ได้ดอกเบี้ยถึง 10% เฉลี่ยต่อปียังได้เลย(กองทุนหุ้น))

อีกทางเลือกของการกู้เงินคือ กู้จาก "ธนาคาร" ดอกเบี้ยเท่าไหร่อันนี้ขึ้นอยู่กับตกลง

ข้อดีของการกู้ญาติ คือ ดอกเบี้ยถูกกว่า ข้อเสียคือ ถ้าเรากู้น้อยคนเกินไปมันจะมีความเสี่ยงเรื่องการที่ญาติคนเดียวคนนั้น อาจร้อนเงินแล้วอยากเอาเงินเค้าคืน ถ้าเราไม่ทำสัญญาไว้เรื่อง การเอาเงินคืนก่อนกำหนด อาจทำให้เราจำใจต้องคืนเงิน จนเราต้องวิ่งวุ่นหาเงินทุนมาเติม



จบครับจบ^_^



Friday, January 29, 2016

ว่าคนอื่นเยอะ....ตัวเองจะพัฒนาได้ไง

วันนี้สั้นๆครับ


คนว่าคนอื่นไม่ดีหยั่งงู้นหยั่งงี้....เอาจริงๆจะเกิดผล 3 อย่าง.......ที่ผมเห็นๆนะครับ (แต่ไม่ได้บอกว่าเราไม่ควรจะว่าคนอื่นเลยนะ....เรายังเป็นมนุษย์อยู่....มนุษย์ที่ยังไม่บรรลุขั้นสูง ยังไงก็จะว่าคนอื่นบ้างแหละ)

1. ว่าคนอื่นต่อหน้าอีกคนหนึ่งเยอะ.....นอกจากคนนั้นจะรู้ว่าเราขี้นินทาแล้ว....เค้ายังรับรู้ว่าเราเป็นเด็กยังไม่โตด้วย(ถ้าคนนั้นเป็นคนประสบความสำเร็จจะดูคนออกว่า "เชี่ยนี่!ยังไม่ค่อยโต")

2. คนว่าคนอื่น....โดยลึกๆแล้ว ( อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวผู้เขียนนะครับ ขอโทษด้วยถ้าไม่ตรงกับความเห็นคนอ่าน ) คนนี้มักอ้างว่าตัวเค้าเองดีแล้ว....พอคิดว่าตัวเองดีพอแล้ว ลงเอยด้วยการคิดว่าเรามีสิทธิ์ว่าคนอื่นได้

3. และถ้าเค้าคิดว่าตัวเอง "ดีพอแล้ว" อย่างนี้นี้แทบปิดโอกาสทำชีวิตตัวเองให้ดีกว่านี้ไปเลยครับ


ไม่เชื่อผม   ก็ลองสังเกตคนที่เค้าประสบความสำเร็จ (หมายถึงประสบความสำเร็จ "จริงๆ" นะ) เค้าจะไม่ค่อยว่าคนอื่นเลยนะ....ยกเว้นไปว่าคนอื่นให้คนสนิทจริงๆ


จบปิ้ง!!!

Monday, January 25, 2016

Sales เก่งมาก กับ "เจ้าของกิจการ"

Blog นี้ไม่ได้เขียนเพื่อทับถมหรือดูถูกพี่ๆน้องๆ Sales เก่งนะครับ และก็สิ่งที่ผมเขียนต่อจากนี้เป็นแค่ "ความเห็น" ของผมนะครับ ขอให้อย่าถือสาเลย เพราะบางทีผมเองยังเด็กเกินไปที่จะรู้ "สิ่งที่ถูกต้อง" จริงๆ


ผมทำธุรกิจซึ่งถือว่าอยู่ในช่วง "ตั้งไข่" ยังไม่ได้เก่งอะไรครับ แต่เริ่มจะพอรู้ว่า "ไม่ใช่ Sales เก่งทุกคนจะเป็นเจ้าของกิจการได้ประสบความสำเร็จในระยะยาวทุกคน" แต่เจ้าของกิจการทุกคนต่างหากที่ต้องอาศัยความสามารถด้าน "การขาย" เก่งๆ


Salesman เก่งๆอาจจะแค่ขายของเก่ง แต่ไม่สามารถ "ซื้อ" ใจคนได้เก่ง

Sales หลายๆคนแค่ชอบขายนะครับ แต่ไม่ชอบซื้อ (อีกพวกที่เป็นเจ้าของไม่ได้เลยจริงๆคือ "ชอบซื้อของและใช้ตังฟุ่มเฟือย แต่ไม่ชอบขายของ")


คิดจริงๆเหรอครับว่าคนรวยระดับโลกหรือระดับประเทศ เค้าวิ่งเข้าหาแต่ "คนรวย" เพื่อที่จะได้ขายของได้ยอดเยอะๆ................... บางทีเข้าอาจจะปั้น connection รวยๆด้วยตัวเค้าเองก็ได้นะ


เราในฐานะเจ้าของกิจการต้องอึดจริงๆนะครับ อย่าลืมว่าสุดท้ายเป็นเพื่อนกันก็สำคัญกว่าการที่เราต้องรวยเร็วๆขายๆๆๆๆจนเสียเพื่อน......บางทีก็ต้องมองกลับมาที่ตัวเราเองด้วย ว่าทำตัวน่าให้เพื่อนสนับสนุนขนาดไหน??? ผมว่าใช้วิธีพูดแบบนั้นดีกว่า


การถ่ายรูปลง Facebook ว่าเรามาอุดหนุนเพื่อน แล้วเข้าใจผิดไปว่า เราเป็นคนดีขนาดไหนเนี่ยที่ช่วยเพื่อนโปรโมทกิจการ....เพราะสุดท้ายการที่เราทำอะไรเท่ๆแล้วพูดโชว์ออกมา...ความเท่มันจะหายไปเยอะเลย..อย่าลืมว่าการโพสต์ของเราก้ออาจจะแค่อยากดูดี เท่านั้นเอง


จบแล้ว วันนี้เอาสั้นๆพอ^_^



Tuesday, January 19, 2016

Smart Phone จำเป็นจริงๆหรือไม่

เกริ่นหัวมาแบบนี้...เอาจริงๆไม่ดีต่อการทำ SEO เลยอ่ะครับ...แต่ก็แล้วจะทำไม ในเมื่อมันเป็นหัวเรื่องแนวๆที่เราอยากเขียน


จริงๆช่วงปีใหม่ เราเองก็อยากเขียนหัวข้อและเนื้อหาเท่ๆว่า "รอบปีที่ผ่านมา อะไรคือสิ่งที่เป็นสุดยอดความรู้ที่เราได้มันมาแล้วแอบพลิกชีวิตเรานิดนึง"


แต่แค่ช่วงนั้นเราไม่มีอารมณ์พอที่จะเขียนมันครับ


มาเข้าเรื่องกันดีกว่า หลายคนอาจสงสัยว่า "มึงเอาหัวข้อความจำเป็นของ Smart Phone มาเกี่ยวข้องกับเรื่อง ธรรมะ การลงทุน ความมั่งคั่ง ได้ยังไง"


เกี่ยวครับ เกี่ยวอยู่ 2 ประเด็นทั้งเรื่องทางการวางแผนการเงิน และ ธรรมะข้อคิด

1. เกี่ยวกับธรรมะหรือข้อคิด เอาจริงๆชีวิตผ่านไปเรื่อย เราก็คงเห็นวันที่ "แค่" มือถือธรรมดาก็พอแล้ว Smart Phone เอาจริงๆแล้ว ไม่ได้จำเป็นกับชีวิตหรอก

แต่ถามอีกอย่างว่า ในเมื่อถ้าเทคโนโลยีมันดำเนินมาจนทุกวันนี้แล้วมันทำให้ชีวิตเรา "ดีขึ้น" แล้วทำไมต้องดักดานไม่ใช้มัน การใช้ มือถือที่ฉลาด เอาจริงๆมันก็ไม่จำเป็น แต่ ถ้ามีมันเนี่ยเราก็แค่มีแต้มต่อให้กับชีวิตเราให้เหนือกว่าชาวบ้านที่ใช้มือถือธรรมดา หรือ เท่ากับชาวบ้านที่ใช้ Smart Phone....ประโยชน์มันก็แค่นั้นเอง

คนเราชอบคิดว่าชีวิตที่เป็นอยู่ปัจจุบันอ่ะดีอยู่แล้ว ไม่เห็น "จำเป็น" ต้องเปลี่ยนแปลงเลย

ถ้าดีจริงก็ดีไปครับ แต่ถ้าเราทึกทักไปเองว่าชีวิตเราดีแล้ว อันนี้ตกหลุมพรางแล้วล่ะครับ โลกเราไม่ได้สวยขนาดนั้น


2. มาที่เรื่องวางแผนการเงินบ้าง มือถือ Smart เอาจริงๆก็เหมือน "ประกันชีวิต" ในโลกยุคปัจจุบัน

ประกันชีวิตถูกพัฒนาขึ้นเหมือนกับเทคโนโลยีอันหนึ่งก็ว่าได้  นับจากวันนี้เป็นต้นไป ใครมีประกันชีวิตก็เหมือนมีแต้มต่อให้กับชีวิตของเราเองอ่ะครับ ในกรณีที่ถ้าถูกแนะนำวิธีซื้ออย่างชาญฉลาด

คนที่ใช้มันเป็นจริงๆ ไม่ใช่คนที่รวยที่สุดในโลกหรือในประเทศไทย.....ไม่ใช่ผู้จัดการกองทุนที่ได้รับรางวัลมากมายในการบริหารกองทุนที่เรียกตัวเค้าเองว่าเป็น "ที่ปรึกษาการเงิน" แต่กลับกลายเป็นตัวแทนประกันที่รู้เรื่องการลงทุน ที่คนหลายคนพยายามหนีเต็มที่

ไม่เคยได้อ่านเรื่องมุมมองของนักลงทุนขั้นเทพอย่าง Warren Buffett ต่อสินค้าประกัน แต่เราอาจเห็นได้จากธุรกิจของ Berkshire ที่หันมาทำธุรกิจที่เป็นผู้รับประกันเอง เท่านี้ก็อาจบอกอะไรบางอย่างกับเราได้ว่า เค้าเองมีมุมมองยังไงกับประกันชีวิต


เราจะวิ่งหนีตัวแทนประกันชีวิตทำไม.....ในเมื่อคนที่เราคบในชีวิตส่วนใหญ่ชอบชวนให้เราใช้เงินมากกว่าเก็บเงิน....ผิดกับตัวแทนที่ชวนให้เก็บเงิน


วันที่เราลำบากหรือป่วยต้องใช้เงินมากๆถามจริงๆมีเพื่อนคนไหนเอาเงินค่ารักษามาให้ โดยที่เราไม่ต้องไปวานญาติหรือพ่อแม่ให้ช่วยหาเงินมาจ่ายค่ารักษาให้ แต่วานแค่คนๆเดียวแล้วก็จบเลย


ขอปิดท้ายความรู้ที่ได้จาก ธรรมะสอนชีวิต เรื่อง 3 เรื่องที่น่าเสียใจในชีวิตครับ....3 เรื่องนั้นคือ
1. พบครูดีแล้วไม่เรียน
2.พบเพื่อนดีแล้วไม่คบ
3.พบโอกาสแล้วไม่คว้าไว้

โดยเฉพาะข้อ 3 โอกาสเป็นสิ่งที่ลอยมาอยู่เรื่อยแหละ โอกาสที่จะเสียเงินเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อให้เราได้มีโอกาสที่จะได้เงินก้อนใหญ่ คิดเอาเองครับว่าหมายถึงอะไร ^_^