Sunday, November 29, 2015

ความรู้ใหม่เกี่ยวกับคน "ประสบความสำเร็จ"

จะรู้ได้ไงว่าตัวเองประสบความสำเร็จ...วันนี้จะพูดสั้นๆมากๆเลยสำหรับ Blog นี้...ผมบอกตัวอย่าง (ในความคิดผมนะ) ให้เลยว่า คนที่ประสบความสำเร็จจะเป็นเหมือนกับคนที่ "ไม่ต้อง" พะวงกับการตั้งนาฬิกาปลุกตอนกลางคืนก่อนนอน เพื่อที่พรุ่งนี้เราจะได้ตื่นมาทำสิ่งที่เรา "ไม่ได้" ชอบมัน


ผมเชื่อแบบนี้นะครับ (คนอื่นจะเชื่ออย่างอื่นก็ไม่เป็นไรคับ^_^) ว่ามนุษย์เราเอาจริงๆก็ ไม่ควรมีคุณภาพชีวิตที่แย่กว่าแมวดิวะ เป็นมนุษย์แท้ สมองก็ดีกว่าแมวตั้งเยอะ แต่ดั๊นเลือกเวลาตื่นกับเวลาหลับไม่ได้เหมือนแมว


แมวนะครับพอเราไปปลุกมัน เขี่ยๆมัน...มันก็ไม่สนใจ มันคงคิดว่า "กูจะนอน มึงนี่ก็เขี่ยกูจัง...เอาตีนเขี่ยด้วยดิ" แต่เรานะครับกลับเลือกไม่ได้ว่าจะตื่นหรือหลับเมื่อไหร่ก็ได้ แปลกมั้ยครับ...ทั้งที่เราฉลาดกว่าแมวตั้งเยอะ


เคยเห็นคนชอบบอกว่า ตี 3 ทุกคืนเลยเหรอวะ...โหดสาดดดด(ข้อใช้ภาษาในไลน์นะครับ)


เอาจริงๆถ้าพรุ่งนี้เราไม่ต้องตื่นเช้า ตี 5 หรือ 6 โมงเพื่อไปทำงานนะครับ.....ตี 3 ก็ยังไม่ดึกเลย...ตี 5 ก็ยังไม่ดึกเลย...ก็เพราะอะไร???  ไม่ดึกเพราะพรุ่งนี้กูไม่ต้องตื่น 6 โมงไปทำงานไงล่ะ......จะตื่นบ่ายโมงก็ได้....ไม่อยากตื่นกูก็จะไม่ตื่นอ่ะ


ที่ผมพูดนี่ก็ไม่ได้จะบอกว่าผม "ประสบความสำเร็จ" แล้ว เพราะผมนอนดึกยังไงถ้าพรุ่งนี้มีงานที่ควรทำ ก็ทำให้เราต้องตื่น 8 โมงเช้าอยู่ดี คือผมยังไม่ "ประสบความสำเร็จ" นั่นแหละ


ขอจบดื้อๆ แค่นี้ครับ ง่วง และก็ นอนดึกตื่นเช้ามาหลายวัน หมดแรงเป็นเหมือนกันครับ


ขอเป็นกำลังใจให้กับหลายๆ คนที่อยากไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกก่อนนอนครับ ขอให้ถึงวันนั้นจะมาช้าแต่ถ้าเราสามารถไปถึงวันนั้นได้ก่อนวันตายของเราเองแค่นี้ก็พอแล้วอ่ะครับ




Tuesday, November 24, 2015

มุมมองของผมต่อธุรกิจ "ขายตรง"

ธุรกิจที่เป็นที่เม้ามอยในปัจจุบัน 1 ในนั้นก็คือ "ขายตรง" เป็น Talk of the Town เลยสำหรับโลกยุคปัจจุบันนี้


ผมเองเป็นคนที่พยายาม "ฟัง" ก่อนที่จะตัดสินว่า ธุรกิจที่ว่านี้ "มันดีจริงและไม่เหมาะกับเราจริงรึปล่าว"


ความเห็นของผมเอง คิดว่า ชีวิตนี้เราพัฒนาตัวเองอย่างโหดๆ ได้ก็เพราะการเข้ามาสู่ธุรกิจขายตรงนี่แหละ ผมเองต้องขอบคุณเทรนเนอร์ ทั้งหลายแหล่ที่ผ่านชีวิตมาจนถึงวันนี้ ช่วยอบรมเด็กคนนึงที่ไม่ได้เรื่องมากๆเลยให้กลับมาเป็นรูปร่างพอใช้ได้ในทุกวันนี้ *ผมเองก็ยังก๊องแก๊งเถอะครับ เอาจริงๆแล้ว*

ผมเองจะบอกว่าเทิดทูนก็คงจะเว่อร์ไป  แต่ก็ยกย่องพอสมควรนะครับ กับ คนที่ยอมสละตัวเอง ถึงขนาดกล้าที่จะ "เสี่ยง" ที่จะกลัวเพื่อนรังเกียจ....ผมมองว่าคนที่เข้ามาหาผมเป็นคนดีมากนะ...ไม่ใช่ว่าเค้าจะมาหลอกอะไรเราหรอกแต่เค้ากล้า "เสี่ยง" ที่จะโดนผมรังเกียจ และกล้า "เสี่ยงที่มาแล้วจะถูกปฏิเสธ"


การลงทุนมันไม่เคยมีครั้งไหนที่การันตีได้หรอกว่า อนาคตการลงทุนของเรามันจะดีอย่างที่ว่าจริงๆ รึเปล่า แต่รู้ไว้อย่างนึงครับว่า....การลงทุนที่ดี "ส่วนใหญ่" จะเปรียบเสมือนการเดินเข้าไปในห้องที่มืดมาก...มากจนเราเองยังจินตนาการไม่ออกเลยว่าอนาคตกูจะ "รอดและก็รวย" ได้จริงๆเหรอวะ


แต่ไอที่บอกมืดที่ว่าเนี่ย ก็อย่าเข้าใจผิดนะครับว่า ให้สุ่มสี่สุ่มห้าลงทุนกับธุรกิจที่ดูมืดมนนั้น แล้วธุรกิจนั้นมันจะไม่มีวันกลับมาสว่างได้ตลอดกาล (Sunset Industry อย่างที่คนอื่นๆเค้าว่านั่นแหละ)


ผมเอง ตอนเริ่มลงทุนหุ้น ก็คิดว่าเราเสี่ยงแล้วนะครับ แต่เอาจริงๆ พอเราพัฒนาตัวเองขึ้นมาเนี่ยก็อยากจะหาเรื่อง "เสี่ยง" มากขึ้นไปอีกด้วยการทำธุรกิจขายตรงมันซะเลย เข้าสู่โหมด "เสี่ยงโดนเพื่อน โดนญาติ เกลียด"


อย่าลืมครับว่าอะไรที่เสี่ยงมาก ย่อมทำให้ "รวย" มากๆด้วยเช่นกัน^_^


สุดท้าย ผมมีโอกาสได้คุยกับนักธุรกิจท่านนึง แล้วผมชอบจุดนึงที่เค้าพูดว่า "น้อง...โลกของธุรกิจนะ...ขออย่างเดียวเลยคือน้องต้องตัดสินใจ เด็ดเดี่ยวเด็ดขาด Jack Ma เองคงไม่มีวันนี้ถ้าวันนั้น ที่เสนอธุรกิจ Alibaba ให้เพื่อน 24 คนฟัง แล้วมีคนยอมรับไอเดีย แค่ 1 คนจาก 24 คน แล้วเค้าดันเชื่อจริงๆว่าเป็นไปไม่ได้"


ผมไม่ได้เก่งอะไรแต่ถ้าใครมีความฝันแล้วอยากจุดไฟฝันให้กับชีวิต....ผมเชื่อว่าผมเองเก่งมากในเรื่องการ "ให้กำลังใจผู้คน" ดังนั้นถ้าไม่รังเกียจ คนทำขายตรงอย่างอาชีพตัวแทนประกัน แล้วอยากคุยด้วย ก็เชิญเลยนะครับ ผมมีเวลาว่างเยอะพอใช้ได้เลยครับวันๆนึง^^


#จากคนมีแค่ความรู้เรื่องเงินนิดหน่อย พอมาวันนี้ เราก็เริ่มเหยียบๆเข้ามาในความรู้เรื่องชีวิตบ้างละครับ


#สู้ตายนะครับ นักฝันทั้งหลาย ที่ลงมือทำ




Friday, November 20, 2015

การพัฒนาตัวเองอย่างโหด....กับวิธีคิดอันแยบยล

"เก่งไม่กลัว....กลัวดื้อมากจนไม่เรียนรู้เพิ่ม" คำพูดคำสอนนี้เหมือนว่าจะง่ายเหลือเกินในทางปฏิบัติ แต่เอาจริงๆ อย่าดูถูกไปว่ามันง่าย....ใครที่ดูถูกและประมาทไป โดยหลงคิดว่า เราเองมีทัศนคติที่ดีมากเพียงพอแล้วในการพัฒนาตัวเอง  เอาจริงๆนะ เพราะความคิดแบบนี้แหละที่พรากความสามารถในการเรียนรู้เพิ่มเติมของเรา


สำหรับผมเองนะครับ....ถ้าผมพูดเองว่าเรามีพัฒนาการเยอะมากจากเมื่อ 5-6 เดือนที่แล้ว ทุกคนและหลายๆคนคงสงสัยว่า ผมขี้โม้เกิ้น แต่เอาจริงๆนะครับ ไม่เชื่อก็ลองถามความเปลี่ยนแปลงของตัวผมเองจากคนที่รู้จักผมเป็นการส่วนตัวเพื่อยืนยันได้เลย


ตัวผมเองยังสงสัยเลยครับว่า คำพูดหรือคำสอน อะไรกันที่อยู่ดีๆ Enlighten เราขึ้นมาเฉยๆเลย งงมาก


ผมคิดสงสัยสิ่งนี้ เพื่อที่จะพยายามถ่ายทอดออกมานะครับ จนคิด "วิธีคิด" ได้ 1 อัน (อาจไม่ใช่แนวคิดทั้งหมดที่พัฒนาตัวผมในช่วง 6 เดือนมานี้ แต่ก็ถือว่าเป็น 1 หัวใจหลักอยู่เหมือนกัน) นั่นก็คือ "ดำรงตนด้วยความไม่ประมาท"


***อย่าประมาทว่าถ้าเราเป็นนักการเมือง เรามีความดีอยู่เต็มประดาเลย จนทำให้เราแตกต่างจากนักการเมืองคนอื่นๆได้ด้วยการ "ไม่คอรัปชั่น" เพราะเราจะแสดงออกด้วยการ "ด่าว่า" การเมืองไทยอยู่นั่นแหละ เป็นต้นเหตุที่ทำให้เราคิดลบในชีวิตเลยนะครับ

***อย่าประมาทที่สิ่งที่เป็นความผิดพลาดของผู้อื่น จะไม่มีวันเกิดกับตัวเอง เพราะการกระทำที่เราแสดงออกจากความประมาทนี้คือ เราจะ "ซ้ำเติม" ความผิดพลาดของคนอื่น แทนที่เราจะ "ให้กำลังใจ"

สุดท้าย อันนี้เจ๋งมากครับคือ อย่าประมาทคิดว่าเรานี่แหละมีความสุขในชีวิตของจริงเลย แม้ว่าเราจะมีรายได้น้อยแค่นี้ ไม่เหมือนคนรวยๆกว่าเราที่ต้องมานั่งเครียดกับธุรกิจ


ความคิดนี้แหละจะทำให้เราไม่กล้า "เสี่ยง" ที่จะเปลี่ยนแปลง หรือ "เสี่ยง" ทำสิ่งต่างๆที่มีแนวโน้มและโอกาสที่จะพัฒนาชีวิตเราได้ (แค่มีโอกาสครับ ไม่ใช่ว่าชัวร์ เพราะมันขึ้นชื่อว่าความเสี่ยง)


ผมพูดตรงๆนะ ถ้าเราเป็นคนประมาทมากๆเลยว่า เราเก่งมากที่คิดพอเพียงเป็น อันนี้แหละที่เสี่ยงที่จะเป็นคน "โลภ"มากกว่าคนอื่นเค้า


ไม่เชื่อลองสังเกตคนที่ บอกว่าพอเพียงกับชีวิต แต่ทำไมถึงคาดหวัง "โบนัส" คาดหวัง "ของกินฟรี" คาดหวัง "การเพิ่มเงินเดือนจากนายจ้าง" มากกว่าได้ล่ะ ถ้าพอเพียงจริงเรื่องพวกนี้เราต้อง "ไม่คาดหวัง" แล้วล่ะครับ


พูดมาซะยืดยาว......ยาวจนบางคนเลิกอ่านถึงบรรทัดนี้ไปแล้วเพราะความที่ "บุญมีแต่กรรมบัง" อ่านมาซะยาว แต่ดั๊นไม่อาจวรรคสุดท้ายนี้วรรคเดียวซึ่งเป็นคีย์เลย.........ยอมรับมาจริงๆเถอะว่า กูแม่งไม่ใช่คนพอเพียงจริงๆเถอะ ถ้ามีคนจะมาให้ 10 ล้านแบบง่ายๆ ก็เอาอยู่ดี "หรือว่าไม่จริงครับ?"


ขอให้คิดยอมรับว่า "เราไม่พอเพียงจริงหรอก" แบบนี้บ่อยๆครับ แล้วเราจะไม่ชักช้าในการพัฒนาตัวเองเสมอๆเลย


ปล.ขออภัยด้วยครับ ผมเองไม่ได้มีเจตนาที่จะยกตัวอย่างเพื่อให้คนส่วนมากยิ่งเข้าใจผิดมากขึ้นว่า นักการเมืองส่วนใหญ่ต้องคอรัปชั่น ขออภัยจากใจจริงครับ


#หลังๆกลับเริ่มอินกับการคิดถึงการพัฒนาชีวิตแบบองค์รวม มากซะกว่าการวางแผนแค่ "การเงิน"

Friday, November 6, 2015

ความฝันคือสิ่งที่ไม่มีเหตุผล...อย่าทำลายมันด้วยเหตุผล

เคยมั้ยครับ ที่ตอนเด็กๆเราฝันอยากเป็นอะไรที่เจ๋งๆ....ผู้ใหญ่ที่ฟังตอนนั้นก็จะขำ เพราะความคิดของเด็กน่ะครับ เค้าก็คิดว่า "เด็กก็งี้แหละ..ไร้เหตุผลเป็นธรรมดา"


ผมว่าคนเราต้องเคยมีประสบการณ์ที่เรา "เล่า" ความฝันหรือโปรเจคเราให้คนอื่นฟัง แล้วเค้าบั่นทอนเราด้วยการบอกว่า "เชื่อดิ เคยผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว...เอาจริงๆนะ มึงทำไม่ได้หรอก


เชื่อเถอะฮะว่า ถ้าเราเล่าให้คน 10 คนฟังถึงโปรเจคของเรา แล้วมีคนเห็นด้วยมากกว่า 5 คน นั่นแสดงว่ามันเริ่มไม่ใช่ "โอกาส" แล้ว....เพราะเริ่มมีคนเยอะมากแล้วที่เข้ามาแข่งกัน ในการทำโปรเจคที่ว่า


การทำอะไรที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย แสดงว่านั่นคือการแสดงความเป็น "ผู้นำ"...ผู้นำในความคิดผมคือคนที่นำคนอื่น ให้ทำสิ่งที่ผู้ตามคนอื่นๆจะทำตาม เมื่อถึงวันที่เทรนด์นั้นมา คนที่นำก่อนก็จะติดลมบนขึ้นสักวัน....เพียงแต่เราต้องมองให้ออกว่าเทรนด์นั้นจะมาถึงเร็วพอรึปล่าว....เร็วพอที่เราจะไม่ตายซะก่อน หรือ เร็วพอที่ จะสำเร็จก่อน "วันที่พ่อแม่เราตายก่อน"


Jack Ma....ชื่อนี้หลายคนน่าจะรู้จักดี....เรื่องราวที่เค้านำเสนอโครงการให้คนทั้งหมด 24 คน ปรากฏว่ามี 23 คนที่ไม่เห็นด้วย และ พูด "เหตุผล" ต่างๆนาๆ ข้อมูลที่ว่าอ้างอิงมาจาก http://elitedaily.com/news/business/jack-ma-poor-people-lack-ambition/770915/


ผมย้ำคำว่า "เหตุผล" นะครับ แน่นอนผมย้ำไม่ผิดคำแน่ๆ เพราะอะไรที่ย้ำคำนี้??? ถ้าไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็เอาเป็นว่าลองจินตนาการดูครับว่า กี่ครั้งกันที่เราชอบเถียงและชอบชนะคนอื่นด้วยการที่เราคิดว่าเราเป็นคนมีเหตุผลแต่อีกคนไม่มีเหตุผล? คนเราอยากจะดูดีหรือเป็นผู้ชนะคนอื่นก็ด้วยการที่คิดว่าตัวเองมีเหตุผลอ่ะครับ แล้วที่น่ากลัวกว่านั้นคือ เราๆท่านๆไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเรากำลังอ้างเหตุผลเพื่อให้ตัวเอง "ดูดี"


ผมขอบอกความลับของความคิดดีๆสักหน่อยนึงครับ (อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะ) คือความคิดที่เราคิดว่าดีหรือเจ๋งมากเนี่ย.....เอาจริงๆเราไม่ได้คิดมันเป็นคนแรกเสมอครับ มีคนอื่นเค้าคิดมาก่อนหน้านี้แล้วทั้งนั้นแหละ เพียงแต่คนก่อนๆที่เค้ามีความคิดดีๆพวกนี้ เค้าเสนอโครงการนี้ให้คน 24 คน แล้วมีคนไม่เห็นด้วย 23 คนแล้วเค้าก้อดัน "เชื่อ" จริงๆว่ามันต้องไม่เวิร์คแน่ๆ โครงการนี้มันเลยพับไป และ ไม่เคยเกิดขึ้นมาให้เราเห็นมาก่อน


เชื่อเถอะครับ...ยังไงถ้าจะรวย สุดท้ายก็หนีไม่พ้นคำว่า "คิดต่าง" กับสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดกัน


ขอจบด้วยการย้ำเตือนอีกครั้งนึงว่า.....กล้าๆเป็นผู้นำหน่อยครับ และก็ศรัทธากับความคิดดีๆ ที่ชาวบ้านเค้าด่ากัน ว่ามันคือสิ่งที่เจ๋งจริง แรงศรัทธาก่อเกิดการที่เราไม่ยอมเลิกล้ม และถ้าเราไม่เลิกล้มซะอย่าง สุดท้ายเราจะได้รับรางวัลตอบแทนครับ


อ้อแต่อีก 1 อย่างครับ การใช้เหตุผลเป็นเรื่องดีนะครับ ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ต้องใช้ให้ถูกจังหวะนิดนึง โดยเฉพาะใช้มันตอนที่พิจารณาข้อเสนอให้เราลงทุน ไม่ใช่ใช้อารมณ์ตัดสินใจในการรับฟังการลงทุนอย่างเดียว


#ที่ปรึกษาเรื่องการใช้เวลาและเงินที่เหลือ ว่าจะเอาไปทำไรดีให้ชีวิตดีขึ้น อย่างยาวนานและยั่งยืน ถ้าคนๆนั้นยอมแกล้งโง่ฟังและทำตามนะครับ