Tuesday, December 1, 2015

นิทานเรื่อง "ดีพะยะค่ะ"

ก่อนอื่นผมเองไม่รู้ว่า ในวงการนิทานเค้ามีจดลิขสิทธิ์กันรึปล่าว แต่ถึงยังไงผมก็ขอให้ blog นี้ได้เล่าเรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ารักและสอนผู้คน อีกทั้งยังเป็นประโยชน์กับคนมากมายอีกด้วยครับ


เรื่องมีอยู่ว่า...


มีกษัตริย์กับที่ปรึกษาคู่หนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องร้ายอะไรก็ตาม ที่ปรึกษาท่านนี้จะคอยเอาแต่บอกว่า "ดีพะยะค่ะ"

ครั้งแรก ต้องบอกก่อนว่ากษัตริย์เป็นคนชอบล่าสัตว์ มีวันนึงเป็นหน้าฤดูกาลที่เหมาะแก่การล่าสัตว์ กษัตริย์ท่านนี้ดันป่วยซะได้ ที่ปรึกษาเห็นอย่างนี้ก็ทูลบอกไปว่า "ดีพะยะค่ะ" กษัตริย์ก็งงดิครับว่า "ดีอะไรของมึงวะ"


ต่อมา กษัตริย์หายป่วยและออกล่าสัตว์ได้ก็ออกไปล่ากัน มีเหตุร้ายบังเอิญเกิดขึ้นโดย ขวานที่กษัตริย์ถือเพื่อล่าสัตว์ดันหล่นไปบนนิ้วเท้า ทำให้นิ้วเท้าขาดหายไป ครั้นพอกลับมาแล้วพอที่ปรึกษาเห็นเช่นนั้นก็เลยบอกอีกว่า "ดีพะยะค่ะ" กษัตริย์พอได้ยินแบบนี้ก็ขึ้นเลยดิครับ เลยจับลงโทษให้อยู่คุก


หลังจากนั้นเป็นเวลานาน ท่านออกล่าสัตว์อีกครั้งนึง คราวนี้ซวยมากคือ ดันไปเจอเผ่ากินคนเข้า.....ทั้งท่านกษัตริย์และข้าราชบริพารจึงโดนจับไปต้มกิน....พอถึงคิวที่กษัตริย์ท่านจะโดนต้มกิน หัวหน้าเผ่านี้เหลือบไปเห็นว่ากษัตริย์นี่ไม่มีนิ้วเท้า !!!! กาลกิณีดิครับ เค้าห้ามต้มคนพิการกิน กษัตริย์จึงรอดไป


หลังจากรอดได้พอกลับไปที่วังเลยนึกคำพูดของที่ปรึกษาท่านนี้ จึงปล่อยตัวเค้า และทำการขอบคุณและก็ขอโทษขอโพย


พอโดนปล่อยตัว  บวกกับได้ฟังเรื่องเผ่ากินคน ที่ปรึกษาท่านนี้บอกอีกตามเคยว่า "ดีพะย่ะคะ" ถ้าท่านไม่ขังข้า ข้าคงโดนกินไปแล้ว


จบครับ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เหตุการณ์ต่างๆบนโลกนี้ ทั้งที่เกิดกับตัวเรา และที่เกิดกับบุคคลอื่น เราสามารถมองมันได้ 2 มุมอยู่เสมอ คนที่แปลความหมายของเหตุการณ์ไปในเชิงดีๆ ก็จะกลายเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีครับ แต่ถ้าใครที่คิดว่าซวยอยู่เสมอ ชีวิตก็จะเริ่มซวยตั้งแต่ที่คิดว่า "ซวย" ไปแล้ว


เราไม่มีทางรู้หรอกครับว่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรา มันดีหรือมันซวย เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเรามองย้อนกลับมาในอดีตถึงเหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้น และดีใจขึ้นมาและพูดว่า "ถ้าวันนั้นเราไม่ตกอยู่ในสภาพนั้น เราก็คงจะไม่อยู่ในสภาพที่สุดยอดและแข็งแกร่งได้แบบนี้" เหมือนทฤษฎีจุดต่อจุดของ Steve Jobs นั่นเอง!!!


วันนี้ผมดีใจมากที่มีเพื่อนเสนอการลงทุนอย่างหนึ่งให้กับผมและผมเองพยายาม work กับมันเต็มที่เพื่อให้เราได้เป็นหุ้นส่วนกัน ผมคงไม่มีวันนี้ถ้าเราไม่เป็นผู้ฟังที่ดีตลอดช่วงชีวิตที่ผมเกิดมา ผมเองไม่ได้คาดหวังว่ามันจะกำไรทางการเงิน แต่ท้ายที่สุด เราจะได้กำไรชีวิตบางอย่างกลับคืนมาอย่างแน่นอน


ผมเชื่ออย่างนั้น!!!





Sunday, November 29, 2015

ความรู้ใหม่เกี่ยวกับคน "ประสบความสำเร็จ"

จะรู้ได้ไงว่าตัวเองประสบความสำเร็จ...วันนี้จะพูดสั้นๆมากๆเลยสำหรับ Blog นี้...ผมบอกตัวอย่าง (ในความคิดผมนะ) ให้เลยว่า คนที่ประสบความสำเร็จจะเป็นเหมือนกับคนที่ "ไม่ต้อง" พะวงกับการตั้งนาฬิกาปลุกตอนกลางคืนก่อนนอน เพื่อที่พรุ่งนี้เราจะได้ตื่นมาทำสิ่งที่เรา "ไม่ได้" ชอบมัน


ผมเชื่อแบบนี้นะครับ (คนอื่นจะเชื่ออย่างอื่นก็ไม่เป็นไรคับ^_^) ว่ามนุษย์เราเอาจริงๆก็ ไม่ควรมีคุณภาพชีวิตที่แย่กว่าแมวดิวะ เป็นมนุษย์แท้ สมองก็ดีกว่าแมวตั้งเยอะ แต่ดั๊นเลือกเวลาตื่นกับเวลาหลับไม่ได้เหมือนแมว


แมวนะครับพอเราไปปลุกมัน เขี่ยๆมัน...มันก็ไม่สนใจ มันคงคิดว่า "กูจะนอน มึงนี่ก็เขี่ยกูจัง...เอาตีนเขี่ยด้วยดิ" แต่เรานะครับกลับเลือกไม่ได้ว่าจะตื่นหรือหลับเมื่อไหร่ก็ได้ แปลกมั้ยครับ...ทั้งที่เราฉลาดกว่าแมวตั้งเยอะ


เคยเห็นคนชอบบอกว่า ตี 3 ทุกคืนเลยเหรอวะ...โหดสาดดดด(ข้อใช้ภาษาในไลน์นะครับ)


เอาจริงๆถ้าพรุ่งนี้เราไม่ต้องตื่นเช้า ตี 5 หรือ 6 โมงเพื่อไปทำงานนะครับ.....ตี 3 ก็ยังไม่ดึกเลย...ตี 5 ก็ยังไม่ดึกเลย...ก็เพราะอะไร???  ไม่ดึกเพราะพรุ่งนี้กูไม่ต้องตื่น 6 โมงไปทำงานไงล่ะ......จะตื่นบ่ายโมงก็ได้....ไม่อยากตื่นกูก็จะไม่ตื่นอ่ะ


ที่ผมพูดนี่ก็ไม่ได้จะบอกว่าผม "ประสบความสำเร็จ" แล้ว เพราะผมนอนดึกยังไงถ้าพรุ่งนี้มีงานที่ควรทำ ก็ทำให้เราต้องตื่น 8 โมงเช้าอยู่ดี คือผมยังไม่ "ประสบความสำเร็จ" นั่นแหละ


ขอจบดื้อๆ แค่นี้ครับ ง่วง และก็ นอนดึกตื่นเช้ามาหลายวัน หมดแรงเป็นเหมือนกันครับ


ขอเป็นกำลังใจให้กับหลายๆ คนที่อยากไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกก่อนนอนครับ ขอให้ถึงวันนั้นจะมาช้าแต่ถ้าเราสามารถไปถึงวันนั้นได้ก่อนวันตายของเราเองแค่นี้ก็พอแล้วอ่ะครับ




Tuesday, November 24, 2015

มุมมองของผมต่อธุรกิจ "ขายตรง"

ธุรกิจที่เป็นที่เม้ามอยในปัจจุบัน 1 ในนั้นก็คือ "ขายตรง" เป็น Talk of the Town เลยสำหรับโลกยุคปัจจุบันนี้


ผมเองเป็นคนที่พยายาม "ฟัง" ก่อนที่จะตัดสินว่า ธุรกิจที่ว่านี้ "มันดีจริงและไม่เหมาะกับเราจริงรึปล่าว"


ความเห็นของผมเอง คิดว่า ชีวิตนี้เราพัฒนาตัวเองอย่างโหดๆ ได้ก็เพราะการเข้ามาสู่ธุรกิจขายตรงนี่แหละ ผมเองต้องขอบคุณเทรนเนอร์ ทั้งหลายแหล่ที่ผ่านชีวิตมาจนถึงวันนี้ ช่วยอบรมเด็กคนนึงที่ไม่ได้เรื่องมากๆเลยให้กลับมาเป็นรูปร่างพอใช้ได้ในทุกวันนี้ *ผมเองก็ยังก๊องแก๊งเถอะครับ เอาจริงๆแล้ว*

ผมเองจะบอกว่าเทิดทูนก็คงจะเว่อร์ไป  แต่ก็ยกย่องพอสมควรนะครับ กับ คนที่ยอมสละตัวเอง ถึงขนาดกล้าที่จะ "เสี่ยง" ที่จะกลัวเพื่อนรังเกียจ....ผมมองว่าคนที่เข้ามาหาผมเป็นคนดีมากนะ...ไม่ใช่ว่าเค้าจะมาหลอกอะไรเราหรอกแต่เค้ากล้า "เสี่ยง" ที่จะโดนผมรังเกียจ และกล้า "เสี่ยงที่มาแล้วจะถูกปฏิเสธ"


การลงทุนมันไม่เคยมีครั้งไหนที่การันตีได้หรอกว่า อนาคตการลงทุนของเรามันจะดีอย่างที่ว่าจริงๆ รึเปล่า แต่รู้ไว้อย่างนึงครับว่า....การลงทุนที่ดี "ส่วนใหญ่" จะเปรียบเสมือนการเดินเข้าไปในห้องที่มืดมาก...มากจนเราเองยังจินตนาการไม่ออกเลยว่าอนาคตกูจะ "รอดและก็รวย" ได้จริงๆเหรอวะ


แต่ไอที่บอกมืดที่ว่าเนี่ย ก็อย่าเข้าใจผิดนะครับว่า ให้สุ่มสี่สุ่มห้าลงทุนกับธุรกิจที่ดูมืดมนนั้น แล้วธุรกิจนั้นมันจะไม่มีวันกลับมาสว่างได้ตลอดกาล (Sunset Industry อย่างที่คนอื่นๆเค้าว่านั่นแหละ)


ผมเอง ตอนเริ่มลงทุนหุ้น ก็คิดว่าเราเสี่ยงแล้วนะครับ แต่เอาจริงๆ พอเราพัฒนาตัวเองขึ้นมาเนี่ยก็อยากจะหาเรื่อง "เสี่ยง" มากขึ้นไปอีกด้วยการทำธุรกิจขายตรงมันซะเลย เข้าสู่โหมด "เสี่ยงโดนเพื่อน โดนญาติ เกลียด"


อย่าลืมครับว่าอะไรที่เสี่ยงมาก ย่อมทำให้ "รวย" มากๆด้วยเช่นกัน^_^


สุดท้าย ผมมีโอกาสได้คุยกับนักธุรกิจท่านนึง แล้วผมชอบจุดนึงที่เค้าพูดว่า "น้อง...โลกของธุรกิจนะ...ขออย่างเดียวเลยคือน้องต้องตัดสินใจ เด็ดเดี่ยวเด็ดขาด Jack Ma เองคงไม่มีวันนี้ถ้าวันนั้น ที่เสนอธุรกิจ Alibaba ให้เพื่อน 24 คนฟัง แล้วมีคนยอมรับไอเดีย แค่ 1 คนจาก 24 คน แล้วเค้าดันเชื่อจริงๆว่าเป็นไปไม่ได้"


ผมไม่ได้เก่งอะไรแต่ถ้าใครมีความฝันแล้วอยากจุดไฟฝันให้กับชีวิต....ผมเชื่อว่าผมเองเก่งมากในเรื่องการ "ให้กำลังใจผู้คน" ดังนั้นถ้าไม่รังเกียจ คนทำขายตรงอย่างอาชีพตัวแทนประกัน แล้วอยากคุยด้วย ก็เชิญเลยนะครับ ผมมีเวลาว่างเยอะพอใช้ได้เลยครับวันๆนึง^^


#จากคนมีแค่ความรู้เรื่องเงินนิดหน่อย พอมาวันนี้ เราก็เริ่มเหยียบๆเข้ามาในความรู้เรื่องชีวิตบ้างละครับ


#สู้ตายนะครับ นักฝันทั้งหลาย ที่ลงมือทำ




Friday, November 20, 2015

การพัฒนาตัวเองอย่างโหด....กับวิธีคิดอันแยบยล

"เก่งไม่กลัว....กลัวดื้อมากจนไม่เรียนรู้เพิ่ม" คำพูดคำสอนนี้เหมือนว่าจะง่ายเหลือเกินในทางปฏิบัติ แต่เอาจริงๆ อย่าดูถูกไปว่ามันง่าย....ใครที่ดูถูกและประมาทไป โดยหลงคิดว่า เราเองมีทัศนคติที่ดีมากเพียงพอแล้วในการพัฒนาตัวเอง  เอาจริงๆนะ เพราะความคิดแบบนี้แหละที่พรากความสามารถในการเรียนรู้เพิ่มเติมของเรา


สำหรับผมเองนะครับ....ถ้าผมพูดเองว่าเรามีพัฒนาการเยอะมากจากเมื่อ 5-6 เดือนที่แล้ว ทุกคนและหลายๆคนคงสงสัยว่า ผมขี้โม้เกิ้น แต่เอาจริงๆนะครับ ไม่เชื่อก็ลองถามความเปลี่ยนแปลงของตัวผมเองจากคนที่รู้จักผมเป็นการส่วนตัวเพื่อยืนยันได้เลย


ตัวผมเองยังสงสัยเลยครับว่า คำพูดหรือคำสอน อะไรกันที่อยู่ดีๆ Enlighten เราขึ้นมาเฉยๆเลย งงมาก


ผมคิดสงสัยสิ่งนี้ เพื่อที่จะพยายามถ่ายทอดออกมานะครับ จนคิด "วิธีคิด" ได้ 1 อัน (อาจไม่ใช่แนวคิดทั้งหมดที่พัฒนาตัวผมในช่วง 6 เดือนมานี้ แต่ก็ถือว่าเป็น 1 หัวใจหลักอยู่เหมือนกัน) นั่นก็คือ "ดำรงตนด้วยความไม่ประมาท"


***อย่าประมาทว่าถ้าเราเป็นนักการเมือง เรามีความดีอยู่เต็มประดาเลย จนทำให้เราแตกต่างจากนักการเมืองคนอื่นๆได้ด้วยการ "ไม่คอรัปชั่น" เพราะเราจะแสดงออกด้วยการ "ด่าว่า" การเมืองไทยอยู่นั่นแหละ เป็นต้นเหตุที่ทำให้เราคิดลบในชีวิตเลยนะครับ

***อย่าประมาทที่สิ่งที่เป็นความผิดพลาดของผู้อื่น จะไม่มีวันเกิดกับตัวเอง เพราะการกระทำที่เราแสดงออกจากความประมาทนี้คือ เราจะ "ซ้ำเติม" ความผิดพลาดของคนอื่น แทนที่เราจะ "ให้กำลังใจ"

สุดท้าย อันนี้เจ๋งมากครับคือ อย่าประมาทคิดว่าเรานี่แหละมีความสุขในชีวิตของจริงเลย แม้ว่าเราจะมีรายได้น้อยแค่นี้ ไม่เหมือนคนรวยๆกว่าเราที่ต้องมานั่งเครียดกับธุรกิจ


ความคิดนี้แหละจะทำให้เราไม่กล้า "เสี่ยง" ที่จะเปลี่ยนแปลง หรือ "เสี่ยง" ทำสิ่งต่างๆที่มีแนวโน้มและโอกาสที่จะพัฒนาชีวิตเราได้ (แค่มีโอกาสครับ ไม่ใช่ว่าชัวร์ เพราะมันขึ้นชื่อว่าความเสี่ยง)


ผมพูดตรงๆนะ ถ้าเราเป็นคนประมาทมากๆเลยว่า เราเก่งมากที่คิดพอเพียงเป็น อันนี้แหละที่เสี่ยงที่จะเป็นคน "โลภ"มากกว่าคนอื่นเค้า


ไม่เชื่อลองสังเกตคนที่ บอกว่าพอเพียงกับชีวิต แต่ทำไมถึงคาดหวัง "โบนัส" คาดหวัง "ของกินฟรี" คาดหวัง "การเพิ่มเงินเดือนจากนายจ้าง" มากกว่าได้ล่ะ ถ้าพอเพียงจริงเรื่องพวกนี้เราต้อง "ไม่คาดหวัง" แล้วล่ะครับ


พูดมาซะยืดยาว......ยาวจนบางคนเลิกอ่านถึงบรรทัดนี้ไปแล้วเพราะความที่ "บุญมีแต่กรรมบัง" อ่านมาซะยาว แต่ดั๊นไม่อาจวรรคสุดท้ายนี้วรรคเดียวซึ่งเป็นคีย์เลย.........ยอมรับมาจริงๆเถอะว่า กูแม่งไม่ใช่คนพอเพียงจริงๆเถอะ ถ้ามีคนจะมาให้ 10 ล้านแบบง่ายๆ ก็เอาอยู่ดี "หรือว่าไม่จริงครับ?"


ขอให้คิดยอมรับว่า "เราไม่พอเพียงจริงหรอก" แบบนี้บ่อยๆครับ แล้วเราจะไม่ชักช้าในการพัฒนาตัวเองเสมอๆเลย


ปล.ขออภัยด้วยครับ ผมเองไม่ได้มีเจตนาที่จะยกตัวอย่างเพื่อให้คนส่วนมากยิ่งเข้าใจผิดมากขึ้นว่า นักการเมืองส่วนใหญ่ต้องคอรัปชั่น ขออภัยจากใจจริงครับ


#หลังๆกลับเริ่มอินกับการคิดถึงการพัฒนาชีวิตแบบองค์รวม มากซะกว่าการวางแผนแค่ "การเงิน"

Friday, November 6, 2015

ความฝันคือสิ่งที่ไม่มีเหตุผล...อย่าทำลายมันด้วยเหตุผล

เคยมั้ยครับ ที่ตอนเด็กๆเราฝันอยากเป็นอะไรที่เจ๋งๆ....ผู้ใหญ่ที่ฟังตอนนั้นก็จะขำ เพราะความคิดของเด็กน่ะครับ เค้าก็คิดว่า "เด็กก็งี้แหละ..ไร้เหตุผลเป็นธรรมดา"


ผมว่าคนเราต้องเคยมีประสบการณ์ที่เรา "เล่า" ความฝันหรือโปรเจคเราให้คนอื่นฟัง แล้วเค้าบั่นทอนเราด้วยการบอกว่า "เชื่อดิ เคยผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว...เอาจริงๆนะ มึงทำไม่ได้หรอก


เชื่อเถอะฮะว่า ถ้าเราเล่าให้คน 10 คนฟังถึงโปรเจคของเรา แล้วมีคนเห็นด้วยมากกว่า 5 คน นั่นแสดงว่ามันเริ่มไม่ใช่ "โอกาส" แล้ว....เพราะเริ่มมีคนเยอะมากแล้วที่เข้ามาแข่งกัน ในการทำโปรเจคที่ว่า


การทำอะไรที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย แสดงว่านั่นคือการแสดงความเป็น "ผู้นำ"...ผู้นำในความคิดผมคือคนที่นำคนอื่น ให้ทำสิ่งที่ผู้ตามคนอื่นๆจะทำตาม เมื่อถึงวันที่เทรนด์นั้นมา คนที่นำก่อนก็จะติดลมบนขึ้นสักวัน....เพียงแต่เราต้องมองให้ออกว่าเทรนด์นั้นจะมาถึงเร็วพอรึปล่าว....เร็วพอที่เราจะไม่ตายซะก่อน หรือ เร็วพอที่ จะสำเร็จก่อน "วันที่พ่อแม่เราตายก่อน"


Jack Ma....ชื่อนี้หลายคนน่าจะรู้จักดี....เรื่องราวที่เค้านำเสนอโครงการให้คนทั้งหมด 24 คน ปรากฏว่ามี 23 คนที่ไม่เห็นด้วย และ พูด "เหตุผล" ต่างๆนาๆ ข้อมูลที่ว่าอ้างอิงมาจาก http://elitedaily.com/news/business/jack-ma-poor-people-lack-ambition/770915/


ผมย้ำคำว่า "เหตุผล" นะครับ แน่นอนผมย้ำไม่ผิดคำแน่ๆ เพราะอะไรที่ย้ำคำนี้??? ถ้าไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็เอาเป็นว่าลองจินตนาการดูครับว่า กี่ครั้งกันที่เราชอบเถียงและชอบชนะคนอื่นด้วยการที่เราคิดว่าเราเป็นคนมีเหตุผลแต่อีกคนไม่มีเหตุผล? คนเราอยากจะดูดีหรือเป็นผู้ชนะคนอื่นก็ด้วยการที่คิดว่าตัวเองมีเหตุผลอ่ะครับ แล้วที่น่ากลัวกว่านั้นคือ เราๆท่านๆไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเรากำลังอ้างเหตุผลเพื่อให้ตัวเอง "ดูดี"


ผมขอบอกความลับของความคิดดีๆสักหน่อยนึงครับ (อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะ) คือความคิดที่เราคิดว่าดีหรือเจ๋งมากเนี่ย.....เอาจริงๆเราไม่ได้คิดมันเป็นคนแรกเสมอครับ มีคนอื่นเค้าคิดมาก่อนหน้านี้แล้วทั้งนั้นแหละ เพียงแต่คนก่อนๆที่เค้ามีความคิดดีๆพวกนี้ เค้าเสนอโครงการนี้ให้คน 24 คน แล้วมีคนไม่เห็นด้วย 23 คนแล้วเค้าก้อดัน "เชื่อ" จริงๆว่ามันต้องไม่เวิร์คแน่ๆ โครงการนี้มันเลยพับไป และ ไม่เคยเกิดขึ้นมาให้เราเห็นมาก่อน


เชื่อเถอะครับ...ยังไงถ้าจะรวย สุดท้ายก็หนีไม่พ้นคำว่า "คิดต่าง" กับสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดกัน


ขอจบด้วยการย้ำเตือนอีกครั้งนึงว่า.....กล้าๆเป็นผู้นำหน่อยครับ และก็ศรัทธากับความคิดดีๆ ที่ชาวบ้านเค้าด่ากัน ว่ามันคือสิ่งที่เจ๋งจริง แรงศรัทธาก่อเกิดการที่เราไม่ยอมเลิกล้ม และถ้าเราไม่เลิกล้มซะอย่าง สุดท้ายเราจะได้รับรางวัลตอบแทนครับ


อ้อแต่อีก 1 อย่างครับ การใช้เหตุผลเป็นเรื่องดีนะครับ ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ต้องใช้ให้ถูกจังหวะนิดนึง โดยเฉพาะใช้มันตอนที่พิจารณาข้อเสนอให้เราลงทุน ไม่ใช่ใช้อารมณ์ตัดสินใจในการรับฟังการลงทุนอย่างเดียว


#ที่ปรึกษาเรื่องการใช้เวลาและเงินที่เหลือ ว่าจะเอาไปทำไรดีให้ชีวิตดีขึ้น อย่างยาวนานและยั่งยืน ถ้าคนๆนั้นยอมแกล้งโง่ฟังและทำตามนะครับ






Monday, October 5, 2015

การเริ่มทำธุรกิจ....เหมือนกับ การขึ้นขี่หลังเสือ

ในมุมมองของผมเอง....เมื่อไหร่ที่ใครในชีวิตผม ตัดสินใจจะสู้ทำธุรกิจ ผมจะสนับสนุนเต็มที่มากๆ และก็อาจจะให้กำลังใจเค้านิดหน่อย ว่า "เค้าคิดถูกแล้ว ขอให้สู้อย่างเดียว อย่ายอมแพ้เท่านั้น สำเร็จชัวร์"


แต่สไตล์ของผม ถ้าเป็นเพื่อนที่คุยกันง่าย ผมจะบอกอีกอย่าง(ที่ย้ำว่าบอกเฉพาะเพื่อนที่คุยกันง่ายเท่านั้นเพราะว่า คนที่คุยยาก เค้าอาจจะไม่ชอบที่เราสอนเค้าก็เป็นได้) ผมจะบอกว่าเริ่มเหยียบเข้าธุรกิจแล้ว เหมือนขึ้นขี่หลังเสือ ครั้นถ้าเราจะวางแผนว่าสักวันนึงเราจะได้ "เลิก" Focus กับมันแล้วหนีกลับมาทำงานประจำหรือเกษียณได้เร็ว ผมบอกเลย "ไม่มีทาง" ........................คิด Worst case ไปได้เลยว่า เราอาจจะมีโอกาสเกษียณช้าหรือจนกว่า ทำงานเป็นลูกจ้างประจำด้วยซ้ำ


การคิดที่จะทำธุรกิจแบบครึ่งๆกลางๆ(พร้อมออกมาจากธุรกิจ) แบบนี้ อาจทำให้เวลาทำธุรกิจเนี่ย เราจะยั้งๆ อยู่เรื่อย "โดยไม่รู้ตัว" ถ้าไม่เชื่อลองไปดูสิครับว่า พวกที่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จ นิสัยที่เค้ามี ไม่ใช่ว่าเค้าซื่อสัตย์กว่าคนอื่น หรือเค้าเรียนรู้ดีกว่าคนอื่น หรือเค้าฉลาดกว่าคนอื่น เลยนะครับ แต่นิสัยนั้นกลับเป็นว่า เค้าเป็นคนไม่ยอมแพ้ หรือไม่ยอมเลิกราจนกว่าจะประสบความสำเร็จ และอีกอย่างที่มีคือการไม่กลัวที่จะล้มแล้วกลับไปเป็นศูนย์(ด้านการเงิน)อีกครั้ง.................... ที่บอกว่าเป็นศูนย์ด้านการเงิน เพราะว่า เอาจริงๆแล้วเราได้ "ประสบการณ์" ขึ้นมาทดแทนเงินที่สูญไปต่างหากล่ะ.........ไม่ใช่ศูนย์ซะทีเดียว


คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในการทำอะไรสักที.....บางทีแล้วอาจเป็นเพราะว่าเค้าเลิกล้ม ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ เท่านั้นเอง!!!


ผมเองก็ลอง Trial and error บ้างเหมือนกัน ผมลองทำธุรกิจเกี่ยวกับที่ปรึกษาเรื่องเงิน....แต่บอกตรงๆว่าผมห่างจากคำว่า "ประสบความสำเร็จ" อีกมาก ผมบอกตัวเองเลย "ห้ามยอมแพ้" ต้องฝึกตัวเอง และก็เรียนรู้เพิ่มในสิ่งที่ตัวเองห่วย และก็ฟังคำตำหนิจากคนอื่นเยอะๆ ผมเชื่อว่าสักวันนึง ผมคงถูกเกลาจนประสบความสำเร็จได้อ่ะครับ ผมเชื่อแบบนั้น


เราอาจจะจนกว่า เหนื่อยกว่า และก็เกษียณช้ากว่า คนที่ทำงานประจำได้ แต่สิ่งที่ทำให้เรายังอยู่บน Track ของการเป็นผู้ประกอบการได้คือแค่เรา "มีความฝัน" ตัวผมเองมี Warren Buffett ที่ผมอยากเป็นเหมือนเค้า มันทำให้ผมเหนื่อยแต่ก็ทู่ซี้ทำต่อ และฟื้นคืนชีพขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลา 


สุดท้ายครับ (วันนี้บทความสั้นหน่อย^^) เรื่องที่คนทุกคนมีความฝันนี่คือเรื่องจริงครับ  ตอนเด็กๆเราฝันได้ง่ายๆมากเลย เพราะเรายัง "ไร้ซึ่งเหตุผล" ไงครับ........พอโตๆขึ้นมา เรากลายเป็นคนมีเหตุผลมากขึ้น ซึ่งดีมากครับไม่ใช่ไม่ดี แต่ต้องยอมรับอย่างนึงว่า ดาบอีกคมนึงที่มาพร้อมกับความมีเหตุผลก็คือ การทำให้คนเรา "ไร้ความฝัน" ชีวิตตั้งแต่วันที่เราไร้ความฝันคือชีวิตที่เราหมดซึ่งเรี่ยวแรงและพลัง


ขอเป็นกำลังใจให้คนมีฝันและก็ลงมือทำมันด้วยการวางเหตุผลออกไปข้างๆตัวดูครับ......ผมเองก็กำลัง work กับมันอยู่ในการวางเหตุผลออกไป......อย่าเข้าใจผมผิดว่า จะสนับสนุนให้มีนิสัยไม่พอเพียงนะครับ....คนที่ไม่พอเพียงจะมีความทุกข์อยู่เรื่อยเพราะไม่เคยเห็นว่าชีวิตปัจจุบันดีสักที แต่คนที่มีความฝันที่อยากทำมันเป็นคนที่เห็นว่าชีวิตปัจจุบันเราทำดีพอใช้ได้แล้วและพอใจกับวันนี้แล้ว เพียงแต่เราอาจทำอะไรเพิ่มขึ้นบ้างดีล่ะที่จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นไปกว่านี้อีก


##สู้ๆครับเพื่อนมนุษย์ที่อยากตามฝัน

Thursday, October 1, 2015

เหตุผลว่าทำไมคนรวยจริงมีน้อยเหลือเกิน

ก่อนอื่นเลยต้องแจ้งให้ทราบก่อนเลยว่า ผมไม่ได้เอาความคิดที่ผมกำลังจะบรรยายนี้มาอนุมานว่ามัน "เป็นความจริง หรือ Fact" นะครับ มันเป็นแค่ความเห็นและการตีความของตัวผมเองเท่านั้น อ่านไว้เผื่อไว้เป็นอีก 1 มุมมองที่มีต่อโลก และบางทีมุมมองนี้อาจโดนใจใครบางคนขึ้นมาครับ


ความคิดผม ผมแบ่งกลุ่มคนบนโลกไว้เป็น 5 กลุ่มละกันครับ แต่ผมขอพูดถึงแค่ 2 กลุ่มที่เป็นระดับบนๆของโลกนี้ นั่นคือ "Billionaire กับ millionaire"


เคยได้ยินกฎพวก 90/10 หรือ 80/20 รึปล่าวครับ....จริงๆผมเองเคยได้ยินมาหลายแนวมากกับกฎพวกนี้ แต่ขอพูดแนวหนึ่ง นั่นคือ "คน 10% บนโลกถือครองทรัพย์สิน 90% บนโลก"


ความเห็นของผมเอง คือ คน 10% ที่ว่านี้เท่านั้นที่เรียกว่าเป็น Billionaire ส่วน Millionaire ถือว่าก้ำกึ่งมาก เพราะเค้ากระโดดไปๆ มาๆ ระหว่างกลุ่ม 90% กับ กลุ่ม 10% นี้อยู่เรื่อย


ขออธิบายโดยยกตัวอย่างลักษณะการลงทุนของคนที่เป็น Millionaire นิดนึงครับ อ่านแล้วอาจเข้าใจและเอาไปปลอบใจคนเคยรวยที่เค้าคิดแบนี้ว่า "ทำม้ายทำไม...ทำไม Millionaire อย่างกูถึงต้องวนเวียนมาเจอจุดตกต่ำโหดๆ หยั่งงี้อีกแล้ววะ???"


+++Millionaire แคร์เรื่อง Leverage โดยใช้เงินกู้(ใช้เงินคนอื่นมาทำงานให้เรา) น้อยเกินไป หรือ แคร์เรื่องคนมาช่วยเค้าทำงานน้อยเกินไป ทั้งชีวิตเลยต้องทำงานหนักเพราะไม่ใช้ประโยชน์จากเวลาของลูกน้องที่มาช่วยงาน.......รวยช้าาาาาาาามากกกกกกกก



+++ ขอสมมุติสถานการณ์โดยใช้ตลาดหุ้นเป็นเกณฑ์ครับ Millionaire มักจะได้กำไรจากตลาดหุ้นเยอะๆมากเสมอ มากเสียจนทำให้ "เค้าลืมตัวและประมาท" ไปว่า 5 ปีได้กำไรมาเท่านี้ ถ้าเรายัง keep แผนเดิม เราก็คงจะได้กำไรประมาณเดิมนั่นแหละ ในอีก 5 ปีต่อไป

สุดท้ายกำไรที่ได้มหาศาล ที่เกิดจาก Capital  Gain ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เป็นเหตุผลให้นำเงินที่มากขึ้นเหล่านั้นไปซื้อหุ้นที่ราคาแพงขึ้น มีความเสี่ยงมากขึ้น และเป็นที่มาของการขาดทุนมากเท่าๆกับกำไรในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งๆที่หุ้นลงมาแค่นิดเดียวเอง อย่าลืมนะครับว่าหุ้นมันขึ้นมา "กี่ร้อย%" ก็ไม่รู้ แต่ลงแค่ไม่ถึง 20% ก็โอดครวญกันแล้ว...แล้วถ้าฟองสบู่แตกล่ะ???

 5 ปีที่แล้วมีทรัพย์สินรวมแล้ว 1 ล้านบาท อีก 5 ปีถัดไปทรัพย์สินกลายเป็น 5 ล้าน จากการลงทุน แต่พอเกิดฟองสบู่แตกจาก 5 ล้านเลยกลับไปเหลือ 1 ล้านเหมือนเดิม หรือถ้าดีหน่อยก็อาจเหลือกำไรนิดหน่อย



+++คนอีกกลุ่มที่น่าสงสารมากกว่าอีก คือกลุ่มคนที่ไม่ใช่ Millionaire ให้ทายว่ามีลักษณะลงทุนหุ้นยังไง?

กลุ่มนี้เข้าตลาดหุ้นช่วงที่หุ้นขึ้นมาเยอะมากแล้ว ดังนั้นเค้าจะ "ไม่เคยได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ" มาก่อนเลยเพราะไม่ได้ลงทุนตั้งแต่ช่วงดัชนีต่ำๆ แต่พอเค้ามาลงทุนช่วงหุ้นอยู่สูงๆ แสดงว่าโอกาสที่เค้าจะขาดทุนย่อยยับ สูงมาก เป็นเกมพนันที่โอกาสชนะยากเต็มที สิ่งที่ผมได้แต่บอกคือ "อย่ามั่นใจหรือคาดหวังอะไรอย่างสุดโต่ง" ว่าเราจะได้กำไรเยอะๆๆๆ จากการซื้อหุ้นที่ดัชนีเท่านี้  กำไรนิดหน่อยก็ขายเถอะ ขาดทุนนิดหน่อยก็ตัดขาดทุนไปบ้างเถอะ ยกเว้นซื้อหุ้นที่เราประเมินแล้วว่า มันคือหุ้นชั้นยอดจริงๆและ มีการเสนอราคาขายหุ้นให้เราที่ Reasonable Price


การลงทุนและวิธีการลงทุนที่ทำได้ทุกเวลาเลยโดยไม่ต้องกลัวหุ้นจะขึ้นหรือลง สำหรับตัวผมคิดว่าก็คงเป็น ลงทุนใน Index Fund และ ซื้อมันโดยวิธีเฉลี่ยซื้อเท่าๆกันทุกเดือน การลงทุนที่ว่าอาจไม่ได้ทำให้รวยมากสุดๆ เร็วสุดๆ แต่รวยขึ้นแน่ในระยะยาว 30 ถึง 40 ปีข้างหน้าครับ


คนลงทุนโหดๆเยอะแยะที่ชนะการลงทุนมา 9 ครั้ง แต่แพ้ที่ครั้งที่ 10 ตอนอายุ 60 ปี  สรุปแล้ว เค้ารวยมาทั้งชีวิต แต่กลับมาจนตอนแก่ อันนี้น่าสงสารที่สุด


เงิน 1 ล้าน กลับกลายมาเหลือ 1 ล้านเหมือนเดิมในอีก 40 ปีข้างหน้า แค่นี้ก็มีใช้ไม่พอแก่แล้วครับ ต้องกลับมาพึ่งลูกหลานอยู่ดี


#อยากจะเล่นกับกองไฟได้ครับ...แต่ก็หักเงินลงทุนแนวเกษียณไว้บ้างติ่งนึง






Friday, September 25, 2015

ทฤษฎี "ต้นทุนคนเราเท่ากันทุกคน"

ผมคิดทฤษฎีนี้เอาเองครับ อาจจะไม่เชิงเป็นทฤษฎี แต่มีความเป็นความเห็นส่วนตัวของผมเองมากกว่า^^


ความคิดที่ว่า "ต้นทุนของเรามันเท่ากันทุกคน" อันนี้ผมเจอมากับตัวและอยากบรรยายมันออกมาให้ฟังครับ


ถ้าในโลกที่ "ตัวเงิน" เท่านั้นที่เป็นตัววัดต้นทุนเก่าเรา โลกนี้จะตรงข้ามกับโลกที่ผมจะพูดโดยสิ้นเชิง


ลองสังเกตเด็กเจนเนอเรชั่นปัจจุบัน ที่ทำงานมาแค่ระยะเวลาไม่นานมานี้(ปัจจุบันผมอายุ 29 ปี) เด็กยุคนี้ในสังคมของผมเอง นับได้ว่าเป็นเด็กที่พ่อแม่รวยซะส่วนใหญ่ เราๆท่านๆเกิดมานี่แทบจะไม่เคยเห็นช่วงเวลาที่ทางบ้านลำบากซักเท่าไหร่เลย อย่างน้อยๆ เราเองยังจำไม่ได้เลยว่า "เคยลำบาก"


ส่วนใหญ่ถ้าวัดแค่เงินอย่างเดียว จะเห็นว่า "พวกเราแม่งมีทุนเยอะมากเลยว่ะ ชีวิตดี๊ดี Slow life สบายๆ"


โลกของผม ผมเองจะนับเอาสิ่งหนึ่ง มาเป็นต้นทุนเก่าของเราด้วย นั่นก็คือ "แรงบันดาลใจ"


พ่อแม่เรารวยหรือมีฐานะดีใช้ได้ ถามจริงๆเถอะว่า...พอเราทำงาน  เราเองจะมีจังหวะที่คิดว่า อยากทำงานหนักๆเพื่อให้มีเงินเยอะขึ้นมาเลี้ยงพ่อแม่ รึปล่าว.....คำตอบจากการถามจริงๆ และตอบอย่างไม่หล่อ คือ "เราไม่ได้มีความจำเป็นหรือต้องการเลยที่จะหาเงินเพื่อมาให้เงินเดือนพ่อแม่"


มีเงินเยอะเป็นต้นทุนก็จริง แต่ไม่มีแรงบันดาลใจ หรือ เหตุผลของการหาเงิน เท่านี้ก็จบเห่(คนนั้นก็จะมีต้นทุนอยู่ชนิดเดียวคือเงิน)


แต่สำหรับคนที่ทางบ้านไม่ได้รวย....สิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนั้น คือเค้าจะได้แรงบันดาลใจในการหาเงินมาทดแทนเงินทุนที่เค้ามีน้อย


แรงบันดาลใจสำหรับบางคนก็ชัดเจนมากเหลือเกิน มากจนไม่ต้องเสียเงินอะไรสักบาทในการตามหาแรงบันดาลใจที่แท้จริง


สำหรับคนที่ไม่มีแรงบันดาลใจ แต่กลัวไม่หล่อไม่สวย ก็จะคิดว่าตัวเองอยากได้นู่นนี่นั่น และไปเข้าใจผิดว่านั่นแหละคือแรงบันดาลใจที่แท้จริง


ความเห็นของผมคือ "มีแต่แรงบันดาลใจจากก้นบึ้งหัวใจที่แท้จริงเท่านั้น" ที่จะทำให้เรามีแรงขับดัน


ตัวผมเองไม่มีแรงบันดาลใจเลยยยยย

ตอนแรกคิดว่า "การไปท่องเที่ยว" แต่ก็ไม่แรงพอ คิดว่า "บ้าน" ก็ไม่แรงพอ เพราะพ่อแม่มีบ้านมากกว่า 1 หลังอยู่แล้ว พอคิดว่า "รถ" ก็ไม่ใช่อีก เพราะที่บ้านมีรถให้ใช้ พูดง่ายๆก็คือ นิสัยสมถะหรือประหยัดนั่นแหละ กลับกลายเป็นหอกทิ่มแทงชีวิตเราอยู่


ปัจจุบันนี้ผมเองยังหาแรงบันดาลใจแท้จริงไม่เจอครับ วิธีการของผมที่กำลังใช้อยู่คือ ใช้เงินที่เรามีมา "ลงทุน" หนักๆในการหาแรงบันดาลใจ และเรานำเงินนั้นไปจ่ายให้คลอบคลุมพื้นที่หลายๆด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านมืด และสว่าง.....ถ้าผมโชคดีและยังมีวาสนาที่จะรวยและประสบความสำเร็จ เงินผมคงไม่หมดซะก่อนที่จะหาแรงขับนั้นเจอ


ขอเป็นกำลังใจให้คนที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ยังหาแรงขับเคลื่อนที่จะดึงเราออกจาก Comfort Zone ไม่ได้นะครับ


การออกจาก Comfort Zone คือการที่เราทำสิ่งใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ ให้มันแตกต่างไปจากวันก่อนหน้าที่เราจะประสบความสำเร็จ......เราไม่ประสบความสำเร็จก็เพราะใช้วิธีการใน Zone เดิมไง เราต้องเปลี่ยนวิธีการและ "เด้ง" ออกจาก Zone สบายของเรา เพื่อที่จะเปลี่ยนตัวเองให้ประสบความสำเร็จ


อย่าลืมครับว่า มีแต่ "แรงบันดาลใจแท้จริงเท่านั้น" ที่จะทำให้เราออกจาก Zone สบายของเราได้


#คนมีปัญหาเรื่องเงินก็เพราะยังบริหารเงินด้วยวิธีเดิม เพราะฉะนั้นไปหาวิธีการบริหารเงินแบบใหม่ๆนะครับ ถ้าอยากไม่มีปัญหาเรื่องเงิน
#แค่นี้เอง


Thursday, September 24, 2015

ความประมาทเป็นหนทางสู่หายนะ

โลกของการลงทุน จริงๆผมมองว่า มีหลายปัจจัยมากที่จะตัดสินว่า คนคนนึง "ชนะ" ในเกมการลงทุนรึเปล่า


มีตัวอย่างให้เห็นเยอะแยะมากมายที่ คนมีเงินและก็ทรัพย์สินเยอะแยะ สุดท้ายต้องมาเจ๊งและสูญเสียเงินมากมายมหาศาล...แต่สังคมเราชอบอ้างว่า "เค้าลงทุนอะไรก็ประสบความสำเร็จนิ มันเพราะเค้ามีเงินทุนเยอะ"


คนส่วนใหญ่ไม่เคยนึกถึงวันที่คนรวยคนนั้นไม่ได้มีเงินเลย เผลอๆมีเงินเมื่อคิดเงินเฟ้อออกไปแล้วน้อยกว่าเงินของเราๆท่านๆในปัจจุบันซะอีก


ประเด็นคือเรามองแค่เงินหรือทรัพย์สินที่เรามีวันนี้ เราเองสามารถทำให้เงินเรา "โตเร็ว" กว่าคนที่รวยอยู่แล้วได้หรือเปล่า........ตังหากล่ะ........ ไม่ใช่อ้างว่าเค้ามีทุนเยอะเลยลงทุนง่ายกว่าเรา เหตุผลนี้สำคัญมาก....เป็นตัวบอกเราเลยว่า "อย่าลงทุนเพราะเห็นว่ารายใหญ่ทำอะไร" เช่นเห็นเค้าซื้อ Biglot ที่ราคานี้ก็เข้าใจว่าเป็นราคาที่ดีแล้ว แมงเม่ารายเล็กอย่างหลายๆคนก็แห่ซื้อตามๆกันไป อะไรทำนองนี้ อย่าลืมว่านักลงทุนไม่ได้ "โง่" คนที่ซื้อ Biglot อาจจะคิดผิดเมื่อเทียบกับคนที่ตัดสินใจขาย Biglot ก้อนนั้นให้กับคนซื้อก็ได้


การไม่ประมาท คือนิสัยที่ใช้ได้ทั้งชีวิตจริง และ โลกของการลงทุน


ผมเองเคยอ่านบทความจาก (ขออนุญาตเอ่ยที่มาของบทความ) Thaipublica ที่กล่าวถึงเรื่อง "ทำไมคนดีถึงนอกใจ" (คลิกตรงนี้เพื่อพาไปที่ Linkเป็นบทความที่สุดยอดมากจริงๆ


+ผมไม่คอรัปชั่นแน่ๆ ถึงลูกผมจะขับรถชนคนตายแบบคนในข่าวนั่น ผมก็จะไม่ติดสินบนเจ้าพนักงานแบบนั้นหรอก
+ผมไม่นอกใจชัวร์ 
+คนก่อเหตุนี่เลวจริงๆ ไม่รู้ว่าใจเค้าทำด้วยอะไรถึงได้ทำแบบนี้ได้ลงคอ

3ตัวอย่างที่ว่าคือคำพูดของคนดีทั้งหลายครับ  เป็นคนดีมากเลยที่กล้าพูดแบบนั้นได้ ติดตรงที่ว่าเค้าเป็นคนดีที่ประมาทไปนิดนึง.........เค้าแค่ไม่อยู่ในสถานการณ์ของคนที่คอรัปชั่น    คนที่นอกใจ    และคนที่ก่อเหตุ เค้าก็เลยพูดได้ครับ


ในโลกของการลงทุน ผมยกแค่ตัวอย่างเดียวคือ คนที่มั่นใจอย่างที่สุด กับความสามารถในการคาดการณ์ทิศทางตลาด


เอาจริงๆ เราไม่มีทางรู้เลยนะครับว่าตลาดมันจะขึ้นหรือลง หรือยังไงกันแน่ ตัวอย่างที่เราพึ่งเห็นกัน เมื่อไม่นานมานี้ก็คือ เหตุระเบิด ที่อยู่ดีๆก็เกิดขึ้นมาเฉยเลย จนทำให้ตลาดหุ้นที่ไม่ใช่ว่าทรงไม่ดีอะไรนะครับ แต่กลับหัวทิ่มรุนแรงเหมือนช่วงที่ผ่านมา (สิงหาคม ปี 2558)


ตลาดอยู่ดีๆก้อประเมินกันว่า "ราคาหุ้นถูกมากแล้ว" หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงทีมงานบริหารเศรษฐกิจของประเทศ (กันยายน ปี 2558) ทั้งที่จริงๆแล้วแค่เปลี่ยนหน้าผู้บริหารแปบเดียวเอง ผลงานยังไม่ทันออกมาให้เห็นเลย


ผมยังคงยืนยันคำเดิมว่า "ไม่มีใครที่เดาตลาดได้ว่าจะขึ้นหรือลง" มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกตรงที่พวกเรา "ชอบ" หาทฤษฎีเดียวที่สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์ และมนุษย์ทุกคนเป็นโรคจิตที่ชอบตีความและคาดการณ์อะไรๆโดยไม่รู้ตัวเสมอ ทั้งที่เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นมา ไม่ได้ มีความจำเป็นต้องตีความหรือคาดการณ์ให้มันยุ่งยากเลยแม้แต่นิดเดียว คนโง่ๆซื่อบื้อๆก็สามารถลงทุนได้ดีกว่า คนที่พยายามหาเหตุผลว่า "ทำไมหุ้นตก" ได้ง่ายๆเลย


#วางแผนเงินกันให้ดีผมว่าสำคัญและรวยง่ายกว่าวางแผนลงทุนให้ปวดสมอง
#ขอให้โชคดี^^








Sunday, September 13, 2015

Ego...กับเรื่อง "กบในกะลา"

Blog วันนี้บอกได้เลยว่าเป็นเรื่องของธรรมะ แต่อาจจะมีเนื้อหาด้านการลงทุนบ้างในช่วงท้าย


คนทุกคนมีจุดอ่อน เป็นเรื่องที่ไม่ผิดอะไรขอแค่ "ยอมรับ" ว่าเรามีจุดอ่อน  การยอมรับว่าเรามีจุดอ่อนอะไรเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก เพราะทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นอัตโนมัติเลย โดยที่เราไม่รู้ตัวว่า "เราไม่เก่งอะไร" และเราไม่อยากยอมรับเรื่องที่ทำให้เรา "ดูไม่ดี" หรอกครับ


จุดอ่อนของคนแต่ละคน...ถ้ามองในแง่ดีคือเปรียบเสมือนดาบที่มันมี 2 คม จุดอ่อนหนึ่งอาจเป็นคมดาบที่คมมากๆ ถ้าเราเอาด้านคมมาใช้ แต่ก็ทื่อสุดๆถ้าใช้ผิดฝั่ง ตัวอย่างเช่น ผมเองเป็นนักคิดที่คิดได้ลึกซึ้งมาก ซึ่งข้อดีของมันคือคิดอะไรได้ซับซ้อนและลึกซึ้ง แต่ จุดอ่อนของคนที่คิดได้คิดดีคือ การไม่ค่อย "ทำ" เพราะคิดอะไรอย่างฉลาดในสมองของเราเยอะจนไม่ได้ทำอะไร


อย่าหล่อ และก็อย่าดูดีมาก ลองซื่อสัตย์กับตัวเองดู สุดท้ายเราอาจคิดหาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ที่จะพัฒนาตัวเอง ในโลกของเราเองเลยก็ได้


จุดอ่อนอันหนึ่งที่กลับเป็นคุณสมบัติที่เด่นได้ถ้าเอาด้านคมมาใช้คือ คนที่โง่และสมองช้า คนกลุ่มนี้ที่เลือกเอาด้านคมของดาบมาใช้คือเค้าจะกลายเป็นคนไม่มี Ego เป็นเหตุให้ฟังทุกคนที่สอนและนำเสนอ แต่ถ้าเค้าเลือกเอาด้านทื่อมาใช้ก็จะกลายเป็นคน "โง่แล้วอวดฉลาด" ต้องระวังมากๆเลยครับ (ผมเป็นคนซื่อบื้อมากๆๆๆ โชคยังดีที่ไม่ค่อยมี Ego เลยพอจะเอาตัวรอดไปวันๆได้)


ในทางพุทธไม่เคยใช้คำว่า "ฉลาด" กับ "ปัญญา" มาเป็นคำเดียวกันเลย


เรื่องราวของคนมีปัญญา ก็อาจจะเปรียบเปรยได้กับเรื่องราวของ "กบตัวนึง" ที่คอยกระโดดออกจากกะลาเล็กๆมาอยู่ใต้กะลาอันใหญ่กว่า กบตัวที่มีปัญญา ก็จะหาทางกระโดดออกจากกะลาที่ดูเหมือนใหญ่แล้ว แต่ก็ยังหาทางกระโดดออกมาได้อยู่เรื่อย กบตัวนั้นจะเลิกค้นหาทางออกของกะลาอันนึงก็ต่อเมื่อกบรู้สึกว่า "กูฉลาดมากพอแล้วว่ะ" พอๆๆๆ ไม่จำเป็นต้องหาทางกระโดดอีกแล้ว


ขอยืมคำพูดในโฆษณาเบียร์สิงห์ ว่า "ถามตัวเอง ถ้าเป็นคนเก่ง จะเก่งกว่านี้ได้มั้ย ถ้าเป็นคนดี จะดีกว่านี้ได้อีกแค่ไหน"


ชีวิตคนเรามันก็ไม่มีอะไรมาก แต่ในความคิดของผมเองคิดว่า ชีวิตคงขาดสเน่ห์ ถ้าเรารู้และเก่งพอที่จะไม่ฟังและก็เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม


ผมเองเคยลงทุนหุ้นด้วยตัวเองมาก่อนที่จะทำธุรกิจ "ที่ปรึกษาการเงินส่วนบุคคล" ก่อนทำงานนี้ผมเองเคยคิดว่าความรู้เรื่องเงินของผมเองน่าจะอยู่ในระดับต้นๆก็ว่าได้ ถ้าจำกันได้ ผมเองเคยโพสต์หล่อๆว่า "ผมเลือกที่จะทำงานอะไรที่เราสามารถเป็นที่ 1 ในล้านคนได้ "  มาวันนี้ผมเองคงไม่กล้าพูดคำนั้น เพราะคนที่เก่งกว่าผมมีเยอะแยะมากมายเหลือเกิน


ขอจบท้ายด้วยคำว่าอย่าหล่อ(หรือสวย) มากครับ ยอมรับบ้างว่าเรามีข้อเสียยังไง
+++คนทำบุญหรือทำดีให้เราเห็นก็อาจจะแค่ "อยากดูดี"
+++คนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นก็อาจจะแค่ "อยากดูดี"
+++คนที่ไม่อยากบอกว่าตัวเองขายตรงหรือปิดการขายแบบ Force ลูกค้า ก็แค่เพราะว่า "ไม่อยากดูไม่ดี"
+++คนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองกำลัง "ยอมแพ้" อยู่ด้วยการพูดอยู่บ่อยๆว่า "ปลงแล้ว" ก็แค่พูดให้ตัวเอง "ดูดี"
+++คนที่มี Ego ชัดๆแต่กล้าบอกว่าตัวเอง "ไม่มี Ego นะ" ก็แค่พูดให้ "ดูดี"
+++คนที่บอกว่าตัวเองเป็นคนดี อันนี้คิดเอาเองครับว่า คนคนนี้จะ "น่ากลัวขนาดไหน"
+++คนที่บอกว่าไม่กลัวเมียหรือไม่มีชู้หรือไม่คอรัปชั่น คนคนนี้จะเป็นยังไงดีน้าาา
+++อ้อ!!! แล้วก็อย่าสับสนระหว่าง คนที่คอยพัฒนาตัวเอง กับ คนที่พอเพียง นะครับ เรื่องนี้น่ากลัวมาก เพราะคนที่เค้าไม่อยากพัฒนาตัวเอง มักจะอ้างว่า "แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว"
+++สุดท้ายอันนี้เจ๋งมากครับคือคนที่ขายประกันแต่บอกกับคนอื่นว่าเป็น "ที่ปรึกษาการเงินส่วนบุคคล" ก็แค่อยาก "ดูดี" ขึ้นมาบ้างเท่านั้นแหละครับ


##ที่ปรึกษาการเงินไม่ใช่คนที่เดาทิศทางหรือเดาอนาคตได้เก่งเลย คนที่ประสบความสำเร็จทางด้านการลงทุน ในความคิดผมคือ เค้าน่าจะไม่เคยเดาตลาดหุ้นอย่างที่กูรูหรือนักวิเคราะห์เค้าทำกัน เราเองทำได้แค่เผื่อไว้ว่า "ขึ้นก็ดีหรือจะลงก็ดี" เท่านั้นเอง ไม่ต่างอะไรกับธรรมะของเรา

Friday, August 21, 2015

กับดักของการพยายามเป็นคนดีต่อผู้อื่น

งวดนี้เป็นเรื่องของธรรมะบ้างครับ เพื่อเป็นสติเตือนใจผู้คนที่เป็นคนดีต่อผู้อื่นแล้วทำให้ลึกๆแล้ว กลายเป็นคนไม่มีความสุขต่อตัวเอง


มนุษย์เรามีสัญชาตญาณลึกๆจริงๆ ที่ต้องการทำให้ตัวเองเป็นคน "ดูดี" ในสายตาคนอื่น ซึ่งถ้าเราทำตัวเป็นคนดีต่อคนอื่นแล้วมันไม่ได้ฝืนตัวเอง มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ แต่ถ้าเราได้รับการขอความช่วยเหลือแล้วเราปฏิเสธไม่ได้ ทั้งๆที่อยากปฏิเสธ กรณีนี้คือ "ปัญหา" แน่ครับ


กรณีศึกษา 1 เรื่องที่เป็นตัวอย่างของการที่เราพยายามเป็นคนดี ผมขอยกตัวอย่างเรื่องนี้ครับ

ผมเองเคยเป็นคนที่มีความต้องการช่วยเหลือคนอื่นอย่างมากในเรื่องการสร้างความมั่งคั่งให้กับผู้คน มันเป็นความเก่งอย่างเดียวเลยก็ว่าได้ที่ผมสามารถให้ความรู้เรื่องการบริหารเงิน

ผมเองพยายามนำเสนอและจัดหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนอื่นแต่คนนั้นเค้าไม่เชื่อเรา....มันทำให้ผมเคยเป็นคนที่คิดมากว่า "โอ่ย!! อะไรวะเนี่ยคืออุตส่าห์แนะนำสิ่งที่ดีแต่ดันมาเข้าใจกูผิดซะงั้นว่ากูจะโน้มน้าวขายของ"

กับดักของคนที่หวังอะไรดีๆให้คนอื่น มันคือการผิดหวังและรู้สึกยอมแพ้

"ช่างแม่ง ไม่เอาแล้วเว่ย ไม่เห็นต้องแคร์" คำพูดพวกนี้แหละคือการบ่งบอกว่าเรากำลัง "ยอมแพ้"

คนเรามันยอมแพ้อยู่เรื่อยๆในหลายเรื่องแหละ เพียงแต่แค่ไม่อยาก "ดูไม่ดี" เลยไม่ยอมรับว่าเค้ายอมแพ้อยู่

ผมว่าคนดีไม่ดีมันวัดกันยากมาก

คิดอย่างไรบ้างถ้าสมมุติเราเห็นผักติดฟันเพื่อน แล้วเรากลัวว่าพอเราบอกเค้าไปแล้วเค้าจะรู้สึกไม่ดี เอาจริงๆถ้าเราไม่บอกเค้านี่แหละ เป็นการฆ่าเค้าทางอ้อม.....สรุปเพื่อนที่เตือนเราหรือเพื่อนที่ไม่เตือนเรา คนไหนคือคนดีครับ ถามง่ายๆ^^


Blog ที่เขียนอยู่นี่อาจจะเหมือนว่าผมบ่น...แต่ลองมองอีกมุมครับว่าผมแค่ยอมรับว่าตัวเองเคยเป็นอย่างนั้น และการที่ผมยอมรับและพูดมันออกมาเนี่ย จะดูดีไม่ดีในสายตาคนอื่นรึเปล่า เอาจริงๆครับคือไม่เห็นต้องแคร์เลยว่าคนอื่นจะคิดยังไง


แค่เราทำสิ่งที่เราเชื่อว่ามันดีต่อคนอื่นแล้วเลิกสนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไง เท่านี้ผมมองว่าเราก็กลายเป็นคนเกือบสมบูรณ์แบบได้แล้ว


#พักเรื่องหุ้นบ้าง
#ไม่ใช่เทพหุ้นครับ...ผมขาดทุนหุ้นเยอะมากในช่วงหุ้นขาลงที่ผ่านมา (แค่เราเสียให้น้อยแต่ได้ให้มาก)



Wednesday, August 19, 2015

YOU MAKE YOUR OWN DECISION!!!

1 ในทักษะที่สำคัญยิ่งกว่าดวงและการคาดการณ์อนาคตที่แม่นยำของนักลงทุน สำหรับผมแล้วมันคือ "การตัดสินใจ"


วันนี้นึกครึ้มอยากเขียน blog หลังจากที่ได้ดูหนังเรื่อง "Inside out" ว่าแล้วก็วิ่งไป Family mart ใกล้บ้านซื้อเบียร์ช้างมากระป๋องนึง กินเข้าไปปุ้บก็ถึงจุดสูงสุดที่อารมณ์ศิลปินมาเลยทีเดียว


ผมว่ามนุษย์โลกเราน่าจะเป็น 1 ในสิ่งมีชีวิตระดับจักรวาลที่สมองดีที่สุด (ถ้ามีมนุษย์ต่างดาวให้เปรียบเทียบระดับสมอง) และสมองเองก็เป็นอวัยวะที่มหัศจรรย์มากที่สุดเลยครับ มากจนเราจินตนาการไม่ออกเลยว่าการทำงานของสมองมันเป็นยังไงกันแน่ ซึ่งการทำงานของมันถึงขนาดที่ทำให้เราทำนู่นทำนี่โดยเราไม่รู้ตัวว่าทำอยู่ได้เลย


ก่อนหน้านี้ 1 วัน ผมดู 50 Shades of Grey มีประโยคนึงครับที่แม่ของนางเอกพูดกับนางเอก หลังจากที่นางเอกร้องไห้ในโทรศัพท์ให้แม่ได้ยิน
"ลูกต้องสัญญานะว่าลูกจะเก็บไปคิดตัดสินใจว่าจะมาหาแม่รึปล่าว?"


ดูผิวเผินคำพูดนี้เหมือนไม่มีอะไรครับ แต่ลองสังเกตในชีวิตของเราดูว่า "กี่ครั้งที่เราไม่ได้แม้แต่จะเริ่มเอาเรื่องที่คนถามให้เราตัดสินใจ มาคิดด้วยเหตุผลจริงๆก่อนที่จะตัดสินใจ?" แม่นางเอกรู้ถึงจิตใจมนุษย์ดีเลยว่าถ้าในอนาคตนางเอกไม่มาหาเนี่ยก็เพราะ "ตัวเองนั่นแหละ" ที่ไม่ยอมย้ำเตือนว่าให้ตัดสินใจว่าจะมาหรือไม่มาหา.....นางเอกอาจไม่ไปหาไม่ใช่เพราะตัดสินใจว่าจะไม่ไปหา แต่เธอแค่ไม่เอาเรื่องที่จะไปหามาตัดสินใจต่างหาก!!!


Inside Out พูดถึงเสียงในหัวเราเอง ซึงเสียงพวกนี้แหละมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงมากๆ ต่อการใช้ชีวิตของเรา ผมยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่า ผมเองเคยมีเสียงเหมือนกัน เช่น
"ทำไมเค้าไม่เชื่อเราทั้งๆที่เราหวังดี"
"ไปขายเพื่อนคนนี้ เราล่ะกลัวจังเลยว่า เราอาจเสียเพื่อน"
"ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะขายคนนี้ได้"
"ทำไมมึงไปกันแล้วไม่ชวนกูวะ นี่กูไม่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มรึยังไง"
"รู้ทั้งรู้ว่าเราขายของชิ้นนี้แต่กลับไม่แคร์เราเลย ดันไปซื้อกับคนอื่นซะงั้น"


ผมโชคดีที่จับติดเรื่องพวกนี้ออกเลยสามารถแก้ปัญหาของชีวิตตัวเองได้เยอะมาก (ปล่อยวางและให้อภัยคนอื่น)....ตัวอย่างของเสียงในหัวแบบอื่นๆ  เช่น
"เห้ย!! มันก็แค่มาพูดโน้มน้าวเราแหละวะอย่าไปเชื่อมัน"
"ถ้ากูซื้อไรจากมันกูจะเหมือนโดนหลอกป่าววะ?"
"มันได้อะไรจากกูป่าววะ"
"ขายตรงอีกแหละ"
"ที่ปรึกษาการเงินมันคือตัวแทนประกันแน่ๆเลย"


คนเราไม่ตัดสินใจด้วยเหตุผลจริงๆก็เพราะเราไปฟัง "เสียงในหัว" ก่อนที่จะฟังเรื่องที่เค้าถามให้เราตัดสินใจ


หลังจากกระบวนการตัดสินใจผ่านไปแล้ว สิ่งที่จะทำให้เรากลายเป็นสุดยอดคนมากขึ้น คือการ "ยอมรับ" อย่างใจจริงถึงผลลัพธ์ของการตัดสินใจนั้นไม่ว่าจะยังไงก็ตาม


คนส่วนใหญ่พอเกิดผลลัพธ์แย่ๆจากการตัดสินใจของตัวเอง ก็เริ่มตีโพยตีพาย บ่นว่านู่นนี่นั่น แต่ไม่เคยบ่นตัวเองเลย เค้าเรียกกิจกรรมที่ได้จากการบ่นก็คือ "การผลักภาระความรับผิดชอบให้คนอื่นหรือสถานการณ์อื่นๆที่บังเอิญมากระทบ" เช่น
"หูย รู้งี้ซื้อหุ้นตัวนั้นดีกว่า" 
"รู้งี้ซื้อ Health Insurance ไว้ก่อนที่จะป่วยดีกว่า"
"โธ่!! ถ้าไม่มีระเบิดนะ หุ้นที่เราพึ่งซื้อเมื่อวานคงไม่ร่วงลงมาแบบนี้หรอก"
"เนี่ย!! ดูซิที่หนูขับรถไม่เป็นซะทีก็เพราะว่าแม่นั่นแหละ ที่ไม่ยอมเปิดโอกาสให้หนูขับรถ"
"ผมทำงานพลาด เพราะพี่คนนั้นเค้าทำงานไม่เป็นและไม่ให้ความร่วมมืออ่ะ"


ผมมองว่าการตัดสินใจที่ดีเป็นคุณสมบัติชั้นยอดของการเป็นนักลงทุน เวลาเราลงทุนเราคงต้องถามตัวเองว่า
"เราตัดสินใจแล้วหรือยังว่าจะเพิกเฉยในวันที่หุ้นกำลังตกๆ  หรือว่า  เราเพิกเฉยไปกับการที่จะเอาเรื่องที่ว่านี้มาตัดสินใจว่าจะเพิกเฉยรึเปล่าด้วยซ้ำ"  


เป็นกำลังใจให้ทุกคน ในวันที่บรรยากาศการลงทุนแย่ๆครับ^^
+++ต่อจากนี้จะไม่บอกหุ้น เพราะหุ้นดีแต่ตัดสินใจไม่ดี ก็ไม่เกิดประโยชน์ครับ อ่านเรื่องกับดักของการตัดสินใจ

+++ผมเป็นนักวางแผนเรื่องเงิน ผมช่วยเพื่อนผมไม่ได้จริงๆครับ กับการพยากรณ์ตลาดหุ้นให้แม่นยำในระยะสั้น





Friday, July 24, 2015

ความเมตตา...กับ การลงทุน

วันนี้ผมรู้สึกดีมากที่จะเขียน 2 บทความติดกันเลยคือ บทความนี้ และ เรื่อง สิ่งที่ผมกลัว


เมตตาบารมี เป็นอะไรที่สุดยอดและลึกซึ้งมากเลยครับ ( อ่านเพิ่มเติม เรื่องเมตตาบารมี )


ผมขอยกตัวอย่าง 2 เรื่องราวที่ผมซาบซึ้งกับเมตตาบารมี เผื่อจะช่วยให้พวกเราเห็นภาพประโยชน์ของบารมีนี้ครับ "ยังไงก็ตาม" อันนี้คือมุมมองของผมเอง แต่ละคนเลือกที่จะมีมุมมองต่อสิ่งหนึ่งไม่เหมือนกันซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาครับ ไม่ว่ากัน ^_^


1. เรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต

ครั้งหนึ่งผมเคยดื่มมาบ้าง ดื่มจนผมมโนไปว่าจะเป่าไม่ผ่าน ซึ่งหลังจากดื่มเสร็จสิ้นและพวกเราแยกย้ายกันกลับบ้าน....ผมขับรถออกจากร้านและกำลังจะไปกลับรถ   ปรากฏว่าเจอด่านก่อนถึงที่กลับรถ

ด้วยความที่อะไรดลบันดาลไม่รู้ครับ...ตัวผมเองเลี้ยวโง่ๆ เข้าซอยไปก่อน วิ่งรถเข้าไปจนอยู่ดีๆ ก็เกิดไอเดียประหลาดว่า เออ!!! ก็ไม่เห็นยาก เราก็เรียกคนที่เดินในซอยนี้ที่ "ดูไว้ใจได้" สักคนนึง แล้วให้เค้าขับรถออกไปจนเลยด่าน และกลับรถไปฝั่งตรงข้ามได้ แล้วเราก็ตอบแทนบุญคุณเค้านิดหน่อยด้วย "เงิน" ไปครับ

ผมเจอเด็กคนนึงซึ่งผมเองต้องวัดใจว่าคนนี้จะเชื่อใจได้ไม่ปล้นเรา ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริง....สิ่งที่เจ๋งไปกว่านั้นคือพอกลับรถไปได้แล้วน้องคนนี้ไม่เอาเงินผมซักบาท ทั้งที่เค้าต้องเสียเวลาและกำลังในการขับรถและเดินข้ามฝั่งมาอีกรอบ

ผมอาจจะคิดไปเองนะว่าที่ผม "เจอ" น้องที่เป็นคนดี ไม่เป็นมิจฉาชีพ และการที่เค้า "เมตตา" ไม่เอาตังเรา รวมไปถึง เราเองที่คิดวิธีติงต๊อง ที่ทำให้ตำรวจไม่เป่าเราได้ ทั้งหมดทั้งปวงนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องที่เราทำประจำอยู่แล้ว คือ เมตตาปราณีคนอื่น

ผมคิดว่าคนเราฝึกเมตตาอยู่เรื่อยๆ สุดท้ายแล้วมันไม่เคยสูญเปล่า มันต้องมีคนใจดีให้เรากลับเสมอ

อีกเรื่องคือการที่ผมได้ตั๋วหนังฟรีโดยที่เราจะให้ตังเค้าแล้วเค้าไม่เอาอยู่เรื่อยๆ เลยครับ งงมากๆ



2. เรื่องเกี่ยวกับการลงทุน

คดีความกับบริษัทที่เราลงทุนมันมักจะเป็นของคู่กันเสมอ

ผมจะให้ความสำคัญกับ "ท่าทาง" ที่เมตตาและอ่อนโยนของผู้บริหารที่ไปประชุมผู้ถือหุ้นมาก เป็น Factor หลักๆเลยของการประเมินว่า คดีความที่เกิดกับบริษัทนี้มันเป็นวิกฤตจริงรึเปล่า?

ผมเชื่อว่าความเมตตาของผู้บริหารบริษัทที่เราลงทุน จะช่วยให้ศัตรูปราณีเรา...ศาลเองก็ปราณีเรา จนสุดท้ายแล้ว คดีความก็จบลงด้วยดีเสมอ

ผมเองมีซื้อบริษัทที่โดนคดีความ แต่หลังจากที่ผมเข้าประชุม เลยรู้ได้ว่า "บริษัทเราน่าจะชนะคดีจริงๆ" เป็นเหตุให้ผมเองซื้อหุ้นบริษัทนี้เยอะมาก



แปลกดีนะครับ หวังว่าบทความนี้และก็แนวคิดแปลกๆพวกนี้ จะช่วยเรื่องการวางแผนลงทุน และ ก็เหนือสิ่งอื่นใดคือ "การวางแผนชีวิต" ด้วย เหตุผลก็คือการวางแผนการลงทุนที่ดี ไม่ใช่เรื่องเดียวกับ การวางแผนชีวิตที่ดีแม้แต่น้อย ลองคิดดู


ขอให้นักลงทุนทุกคนโชคดี!!!




สิ่งที่ผมกลัว

คนเราทุกคนมีความกลัวบางอย่างที่ฉุดความเจริญของชีวิตครับ...ในความคิดผมคือถ้าค้นให้เจอความกลัวที่แท้จริงแล้วมันจะ Break limit ของตัวเองมาก


ขอยกตัวอย่างตลกๆในเรื่องความกลัวของผมเองละกัน....ความกลัวของผมตลกมาก... คือ ผมเองกลัว "การเป็นที่โด่งดัง" กับ เคยกลัวว่า "การที่เราไม่สามารถทำให้สังคมสนุกได้"


ผมเองชอบคำพูดของวิทยากรคนนึงครับ...เค้าพูดว่าเราต้องคอย "ทำการบ้านกับจิตใจของคนอื่นและตัวเองอยู่เป็นประจำ"


การกลัวตัวเองดัง เป็น 1 ในเหตุผลที่ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จในบางเรื่องเท่าที่ควร


ในความเห็นของตัวผมเองมองว่า วิธีการแก้ความกลัวประเภทนี้ คือตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า "ทำไมเราถึงกลัวดัง?"


ผมได้คำตอบว่าเพราะ ผมกลัวลึกๆมาตลอดว่าตัวผมเอง กลัวการขึ้นเวทีครับ (HAHAHA)


ทีนี้แหละถ้าจะ Break ออกจาก comfort zone คือเราหักดิบขึ้นเวทีมันซะเลย....ฝึกขึ้นเวทีและพูดอยู่เรื่อยๆซะ


อีก 1 เรื่องที่ผมใช้คำว่า "เคยกลัว" คือการกลัวว่าเราจะไม่สามารถทำให้คนอื่นสนุกสนานได้...อันนี้ผมเชื่อว่าผมแก้มันได้แล้วด้วยการหักดิบเล้ยยยย.....ไปหาเหล้ากินกับเพื่อนมันซะเลย (ถึงแม้ว่าจะกินเหล้าไม่เก่งเลยให้ตายเถอะ)


ผมคิดว่าคนเรามีจิตใจบางส่วนที่เป็นจุดอ่อน (ถ้าเราไม่หลอกตัวเองจนเกินไป) ซึ่งถ้าเราค้นหา "สิ่งนั้น" เจอนะครับ....นั่นแหละคือเราจะ Break limit ตัวเอง และพัฒนาความเก่งของตัวเองได้อยู่เรื่อยๆ


ผมเชื่ออย่างนั้น!!

Thursday, July 23, 2015

การเอาตัวรอดใน "ตลาดหุ้นขาลง"

กฎหนึ่งของนักลงทุนคืออย่า "เดาทิศทางของตลาดหุ้น" อย่าลืมว่าถ้าเดาว่าตลาดหุ้นเป็นขาลงแล้วเราขายหุ้นทิ้งหมด...สุดท้ายถ้ามันไม่เป็นขาลงจริงแล้วกลับเป็นขาขึ้น...."ในวันที่หุ้นขึ้นแต่เราถือเงินสดแทนที่จะถือหุ้น...ก็เหมือนกับเรากำลังเสียเงินอยู่(Opportunity Cost)"


ในทางกลับกัน พอหุ้นลงมาเยอะ ก็อย่าคิดเหมือนกันว่า "มันลงมาเยอะแล้ว" เพราะถ้าคิดอย่างนั้น สิ่งที่เราจะทำคือซื้อหุ้น พอซื้อเสร็จก็ลงต่อ พูดง่ายๆคืออย่าถัวเฉลี่ยจนหมดหน้าตัก


ผมเองก็เรียกได้ว่าเป็น VI คนนึง แต่ก็เป็น VI ที่ไม่ได้ยึดติดกับกระบวนท่าหรือหลักการอะไรมาก ในตลาดขาลงนั้น VI ที่ "ยึดติด" คงเอาความคิดผิดๆเช่นหุ้นลงให้ถัวซื้อเพราะราคา "แรก" ที่เราซื้อหุ้นตัวนี้มันเป็นราคาที่เราประเมินแล้วว่า ราคาถูก


สำหรับ Buffett ผมเชื่อว่าในสถานการณ์ที่ราคาหุ้นตกลงต่ำกว่าราคาทุนที่ซื้อ ส่วนใหญ่แล้ว Buffett จะถัวซื้อเพิ่ม


ถ้าเราอยากเลียนแบบ Buffett ด้วยการถัวซื้อ เราคงต้องเลียนแบบวิธีการทั้งดุ้นด้วยนะครับ อย่าลืมว่า Buffett ซื้อหุ้น "ชั้นยอด" เท่านั้น แต่คนห่วยๆอย่างพวกเราส่วนใหญ่จะซื้อหุ้น "ธรรมดา" ที่ราคาถูกแล้วถูกอีก ถูกเว่อไปเรื่อยๆ ราคาที่เราซื้อและเห็นว่ามันถูกส่วนใหญ่แล้วจะมีถูกกว่าราคาของเราลงไปอีก


เหตุผลที่หุ้นชั้นยอดเหมาะกับการถัวเฉลี่ย เพราะราคาพื้นฐานของมันไล่ขึ้นมาเพื่อให้เท่ากับราคาตลาดได้เร็วมาก และนักลงทุนชั้นยอดที่รู้ข้อนี้ดีจึง "ไม่ใคร่จะ" ขายทิ้งถล่มราคาหุ้น


VI ที่ดีคือคนที่ไม่มี EGO (ผมคิดอย่างนั้นนะ) ต้องพร้อมที่จะรับฟังสไตล์การลงทุนของคนอื่น


ผมชอบแนวคิดหนึ่งของ George Soros ในเรื่อง "ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ" แนวคิดนี้ทำให้ผมตาสว่างเลยว่า เห้ย! ทุกครั้งที่เราซื้อตอนหุ้นขาลงเนี่ย 100% เลยที่ราคาหุ้นมันจะลงต่อ และทุกครั้งที่ขายหุ้นตอนขาขึ้น ก็ 100% เลยที่ราคามันจะขึ้นต่อ


ถามว่าเกี่ยวอะไรกับ ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ? ลองคิดดูนะครับว่าราคาตลาดที่เป็นขาลงของหุ้น มีผลให้คนเล่นหุ้นจนลงไปเรื่อยๆ พอคนเล่นหุ้นจนลงไปเรื่อยๆ ก็มีผลทำให้ไม่มีเงินซื้อของเท่าไหร่ ทำให้ผลประกอบการในไตรมาศถัดไปของบริษัทแย่ลง พอคนทั่วไปเห็นผลกำไรแย่ลงอีกก็ขายหุ้นทิ้งอีก ราคามันก็เลยลงอยู่เรื่อยไงครับ


ราคาน้ำมันก็เหมือนกัน....ถามว่าราคาน้ำมันลงเนี่ยครับ เจ้าของบริษัทน้ำมันจะผลิตน้ำมันเพิ่มไหม? แน่นอนถ้าเค้าอยากได้กำไรมากเท่าเดิมตอนราคาน้ำมันถูกเค้าก็ต้องผลิตเพิ่ม....พอยิ่งผลิตเพิ่ม supply ก็ยิ่งเยอะขึ้น ราคาน้ำมันก็ยิ่งถูกลงไปอีก...


ตลาดหุ้นคงจะหยุด "ขาลง" ก็ตอนที่นักเก็งกำไรหรืออาจจะเป็นนักลงทุนที่ความรู้น้อยขยาดและออกจากตลาดไปจนเหลือแต่พวก "นักลงทุนที่มีความรู้" เช่นพวกกองทุน และก็นักลงทุนเก่งๆที่ช้อนซื้อหุ้นของนักลงทุนคนอื่นที่ขายทิ้งออกจากตลาดหุ้นไป


คิดได้แบบนี้ก็ Cutloss กันบ้างครับแต่อย่าขายจนหมดหน้าตักเพราะมันจะเป็นการ "ซ้ำเติม" ตลาดและอย่าลืมว่าถ้าขายแล้วมันลงต่ออีกนิดเดียวแล้ววิ่งขึ้นเกินราคาที่ขายขาดทุน....เราวิ่งกลับเข้าไปซื้อที่ราคาที่สูงกว่าตอน Cutloss อันนี้ก็อย่าทำเลยครับ เราขายขาดทุนเพื่อให้เรามีเงินสดจำนวนเดียวกันกลับไปซื้อหุ้นที่ราคาถูกลง เพื่อให้ได้จำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น


ทำใจร่มๆไว้ครับ สู้ๆ ^_^


ปล.บริษัทที่มีคูน้ำหรือป้อมปราการล้อมรอบและคูน้ำนี้ดูแล้วมันจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แถมใหญ่ขึ้นเร็วและยั่งยืนด้วย (กำไรของบริษัทเติบโตเร็ว และ คู่แข่งเข้ายาก) นี่แหละบริษัทชั้นยอดครับ

Sunday, July 19, 2015

คำตอบที่ดีที่สุดของ "เริ่มต้นเล่นหุ้นหรือกองทุนต้องทำอะไรก่อนดี?"

ขออนุญาตไม่นอกเรื่องหรือเกริ่นอะไรทั้งนั้นครับ......คำตอบง่ายๆของคำถามนี้คือ "เริ่มต้นเล่นหุ้นหรือกองทุนต้องเริ่มต้นเล่นหุ้นหรือกองทุนก่อน"


เหมือนเป็นคำตอบกวนๆครับ แต่จริงๆมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ พูดง่ายๆก็คือ "อย่าคิดเยอะครับ ให้ลงมือเลย" หลังจากลงมือลงทุนไปแล้ว เชื่อสิครับว่าเราจะเริ่มลนลานและจะพยายามทุกวิถีทางที่จะหาความรู้ให้ได้เร็วที่สุด


วิธีการเปิดพอร์ตหรือเปิดบัญชีกองทุน ก็ง่ายมากครับแค่ตรงดิ่งไปที่สถานที่ที่ทำให้เกิด "ผลลัพธ์" เช่นบริษัทหลักทรัพย์หรือธนาคาร แค่นี้ก็มีบัญชีลงทุนได้แล้ว ง่ายมากๆ


และเพื่อจูงใจให้คนหันมาลงมือปฏิบัติ.....ผมขอเล่าเรื่องราวความผิดพลาดในชีวิตของตัวเองให้ฟังละกันครับ โดยจะเล่าความผิดพลาดในมุมมอง "การวิเคราะห์พื้นฐาน"


ในเรื่องการวิเคราะห์พื้นฐานที่เรียนรู้จากการปฏิบัติ

1. คิดว่าบริษัทที่กู้มากๆจะไม่ดี โอ้ย!!อ่านในหนังสือเค้าก็บอกว่าบัฟเฟตต์หลีกเลี่ยงบริษัทที่มีหนี้มากๆ

 แต่ปรากฏพบว่าในชีวิตจริง ปู่บัฟเองก็ยังลงทุนในบริษัทอย่าง GM เลยครับ ผมเลยกลับมาหาเหตุผล....สุดท้ายก็ถึงบางอ้อว่า "อ๋อ!!! ต้องดูด้วยว่าประเภทธุรกิจของบริษัทเป็นแนวไหนด้วย" การที่บริษัทมีหนี้เยอะแค่ทำให้เรา "ให้คะแนน" บริษัทนี้ลดลงแต่ไม่ใช่ว่าปิดกั้นที่จะไม่ลงทุนบริษัทนี้เลย

2. คิดว่าซื้อบริษัทที่มี P/BV ต่ำกว่า 1 ไว้เยอะๆเราจะมี Margin of Safety

แต่ปรากฏว่าในชีวิตจริง Warren Buffett ก็ซื้อหุ้นที่ P/BV เกิน 1 แทบจะทุกตัวมีเฉพาะช่วงแรกๆของชีวิตลงทุนที่เค้าเชื่อหลักของ Graham มากไปเลยซื้อบริษัทคุณภาพกลางๆแต่ราคาถูก

ชีวิตจริงอีก 1 เรื่องคือ เราคงไม่ได้ลงทุนโดยหวังให้บริษัทเจ๊งแล้วเรายังกำไรหลังจากการชำระบัญชีหรอกครับ (ชำระบัญชีก็คือขายทรัพย์สินของบริษัททิ้งแล้วเอาเงินมาจ่ายเจ้าหนี้ทั้งหลายเสร็จแล้วเอาเงินมาคืนผู้ถือหุ้น) พูดง่ายๆคือ P/BV แค่บอกว่าเราจะเจ็บแค่ไหนตอนบริษัท "ตาย" แต่ P/E จะบอกเราว่าเราจะได้ผลตอบแทนอย่างไรบ้างตอนบริษัทยัง "เป็น" อยู่

3. พอเราเปลี่ยนมาดู P/E บ้างก็เลือกที่ P/E ต่ำๆ การที่ P/E ต่ำๆหมายความว่าเราซื้อหุ้นที่ราคาหุ้นถูก ผลก็คือกำไรของบริษัทมันจะกลบทุนที่เราซื้อหุ้นนั้นๆ ได้เร็วขึ้น เช่น ถ้าเราซื้อหุ้นที่ P/E = 11 และกำไรของบริษัทยังเป็นเท่าเดิมอีก 11 ปี และให้ปันผลเราจากกำไรของบริษัททั้งหมด และปันผลนั้นไม่เสียภาษีด้วย...จะใช้เวลา 11 ปีที่ผลรวมปันผลที่ได้จะเท่ากับทุนที่ซื้อหุ้นตัวนั้น

แต่ปรากฏว่าชีวิตจริงคือเราก็ดันไปซื้อตอน P/E ต่ำจริง แต่ต่ำเพราะปีที่ผ่านมาทั้งปีมันเป็นปีที่กำไรบริษัทสูงเป็นประวัติการณ์แถมยังมีกำไรพิเศษเติมเข้ามาด้วย



ดูๆแล้วถ้าชีวิตลงทุนผิดพลาดเยอะขนาดนี้ คงมีคำถามว่า  "ที่ลงทุนที่ผ่านมาได้กำไรเหรอ?" ผมตอบเลยว่าได้ครับ ได้ทั้งในรูปตัวเงิน และในรูปของความรู้และประสบการณ์  เช่น เดิมมีเงิน 10 บาท ผ่านไป 6 ปีเพิ่มเป็น 18 บาท แต่เราควรที่จะได้เป็น 30 บาท(ถ้าเราวิเคราะห์หุ้นเก่งกว่านี้...หรือถ้าลงทุนด้วยสัดส่วนทรัพย์สินที่มากกว่านี้....หรือถ้าลงทุนด้วยเงินกู้มากกว่านี้...หรือซื้อหุ้นบางตัวช้ากว่านี้....หรือ Cutloss เร็วกว่านี้) ผมเลยได้ผลตอบแทนรูปแบบตัวเงินคือ 8 บาท และรูปแบบความรู้และประสบการณ์อีก 12 บาท ผมกล้ายอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยว่า 8 บาทที่ได้มานี่เพราะโชคช่วยล้วนๆ อย่าลืมว่า 6 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นมันเป็นขาขึ้นตลอด


สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ยังไม่เริ่มหรือเริ่มแล้วแต่ขาดทุนก็อย่าคิดมากครับให้ถือซะว่าเรา "ซื้อประสบการณ์" ด้วยราคาเดียวกับจำนวนเงินที่ขาดทุนนั่นแหละ


โชคดีกับการลงทุนครับ ^_^








Monday, June 29, 2015

ไม่รู้ว่าเราไม่รู้อะไร

ชื่อ blog อาจจะดูตลกแต่มันเป็นคำง่ายๆที่แฝงด้วยธรรมะและปรัชญาชีวิต


ผมโชคดีที่เพื่อนผมชวนเข้าฟังการอบรม course นึงครับ (ขอไม่เอ่ยชื่อ course ละกัน^^) การอบรมนี้สอนเราให้รู้ว่าที่จริงแล้วตัวเราเองกำลังไม่รู้ตัวอยู่รึเปล่าว่า "อะไรเอ่ยที่เรายังไม่รู้?!?"


ถ้าพูดถึงความรู้ทั้งหมดบนโลกนี้ไม่ว่าจะเป็น กฎหมาย บัญชี การเงิน หรืออะไรก็ตามที่ดูเป็นหัวข้อทางเทคนิก....สุดท้ายผมว่าความรู้ขั้นสุดยอดคือ "ทำยังไงดี จะทำให้เรารู้ตัวว่าตอนนี้เราไม่รู้อะไรอยู่"


มาถึงตรงนี้คนอ่านอาจจะงง....เอางี้!!!   ผมขอโยงเรื่องเพื่อประยุกต์ใช้ "skill" การรู้ว่าเราไม่รู้อะไรกับการลงทุนซักหน่อยครับ


1.ปัจจุบันนี้มีคนที่ถูกยกย่องว่าเป็น "เซียนหุ้น" เยอะครับ....ธุรกิจพวกที่อบรมเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นก็ขายดิบขายดี...สุดท้ายเชื่อผมครับว่าหลักการลงทุนที่ดีที่สุดคือต้องคอย "ยอมรับจากใจจริง" ว่าการลงทุนมันมีเรื่องที่เราไม่รู้อีกเยอะ...อะไรที่ดูแน่อาจยังไม่แน่เลยครับ...บริษัทที่งบสวยก็อาจจะเป็นเพราะ "ตบแต่ง" ก็ได้ (ไม่เว้นแม้แต่บริษัทใหญ่ยักษ์ครับ)


2. เรื่องต่อไปที่ต้องรู้คือ....เอาจริงๆเราไม่รู้หรอกครับว่า "วิธี"  การเล่นหุ้นในแบบที่กูรูสอนเนี่ย มัน work จริงป่าว...เราต้องรู้ไว้เลยว่า  เราไม่รู้ว่าจริงๆแล้วคนที่สอน เค้าเอาตัวรอดได้จริงรึปล่าวกับตลาดหุ้น...เพราะตั้งแต่ปี2008-2009 ถึงปัจจุบัน(ปี 2015) ตลาดหุ้นมันเป็นขาขึ้นแทบจะตลอดเวลา ดังนั้นการได้กำไรเยอะในช่วงนี้จึงถือว่าไม่แปลก


3. ข้อนี้ข้อสุดท้ายนะครับ....ผมขอพูดถึงการ "cut loss" นิดนึง ตอนหุ้นลงไปจากราคาที่เราซื้อ จะเกิดความรู้สึก 2 ด้านสุดขั้วก็คือ "จะ cut" หรือ "จะถัว" คน cut มองว่ามันจะลงต่อ....ส่วนคนถัวมองว่านี่คือจุดต่ำสุดแล้วล่ะ

ผมขอแชร์วิธีที่ผมคิดละกันครับ..คือส่วนใหญ่ผมดูประเด็นเรื่อง "ความแข็งแกร่ง" ของหุ้นนั้นๆ....ถ้าเราคิดอย่างจริงจังเลยนะครับ(ด้วยเหตุผลนะไม่ใช่อารมณ์) แล้วประเมินว่าหุ้นนั้น "เทพจริง" ก็ตั้ง cut loss ต่ำหน่อยก็ได้ครับ(ต่ำนี่หมายถึงสัก25% ของต้นทุนที่เราซื้อ)  ไม่ใช่ลงแค่ 10% จากต้นทุนแล้วเราก็ cut แล้ว

ส่วนจะถัวไม่ถัวเนี่ยก็รอนิดนึงก็ได้ครับ...รอให้ผงกกลับลำแล้วเราแอบเห็นชัดๆเลยว่านี่คือการ "กลับลำ" และยิ่งตอนเห็นว่ากลับลำแล้วมันมีราคาถูกกว่าทุนเราเยอะเนี่ย...โห!!! ยิ่งเชื้อเชิญให้เราถัวสุดๆครับ^^


ผมเคยคิดว่า VI ต้องไม่ cut loss แต่ถ้าเราเปิดหูเปิดตาตาม "ข่าวสาร" หน่อยนะครับ Buffett เค้ายังตัดขายขาดทุน Tesco ออกไปบ้างเลย อย่าลืมว่าบางครั้งเราไม่รู้ว่านายตลาด(คนส่วนใหญ่) เค้ารับรู้เรื่องบางเรื่องที่เราไม่รู้รึปล่าว หุ้นมันถึงลงอย่างนี้


อ่าน blog นี้แล้วก็อย่าเชื่อผมมากนะครับว่าผมรู้จริง....เวลาอีก 30 ปีต่อจากนี้ต่างหากถึงจะพิสูจน์ได้ครับ!

Thursday, June 18, 2015

กลับมาอีกครั้งสำหรับ "ธรรมะ การลงทุน ความมั่งคั่ง"

ไม่ได้เขียน blog นานเลย จนเพื่อนผมมันแนะนำให้ว่า "มึงเขียนลง blog แบบเดิมอ่ะดีกว่า" คิดได้ดังนั้นก้อ "เออก็ได้ว่ะ ขี้เกียจมานาน" จริงๆ content ไม่ได้หมดอะไรแต่ขี้เกียจ log เข้า blogger ครับ Facebook มันง่ายกว่า


ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับจิตวิทยาเล่มหนึ่ง และค้นพบหลักการพัฒนาตัวเองขั้นสุดยอดขึ้นมาครับ (หลักการมันดีมากจนอยากแชร์ให้พวกเราที่ติดตามลองอ่านดู)
หนังสือเล่มนี้ทำลายความเชื่อที่ผมเชื่อมาตลอดว่าเราต้องคอย "ฝันและมองเห็นภาพความสำเร็จแล้วมันจะเป็นจริงขึ้นมา" โดยการยกงานวิจัยที่บอกว่า.....


ใครก็ตามที่ยิ่งฝันใหญ่มากและคิดถึงมันวันละหลายๆครั้ง มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จน้อยกว่าคนที่ฝันน้อยครั้งแต่ทำมากกว่า (พูดง่ายๆคือพวกฝันกลางวันบ่อยๆนั่นแหละ!!!!)


เนื้อหาภายในหนังสือยังบอกอีกว่าลึกๆแล้วคนเราก็ไม่ต่างจากสัตว์อื่นๆ แค่เรามี "พลังใจและสมองที่คิดเหตุผลได้เหนือกว่า"


พลังใจและสมองที่คิดตามหลักเหตุผลทำให้ เราสามารถฝืนตัวเองได้เพื่อทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเราในระยะยาว เช่น เราปวดท้องอึแต่เราเลือกที่จะอั้นมันไว้ไปอึในห้องน้ำได้( มันคงไม่เหมาะสมถ้าจะอึตรงไหนก็ได้เหมือนสุนัข) เราง่วงนอนแต่เราก็ไม่นอนตอนกลางวันของวันก่อนสอบ 1 วัน( เราคงสอบตกถ้าเราไม่ฝืนตัวเองและนอนนานจนอ่านไม่จบ)


เมื่อได้อ่านถึงตรงนี้ พลังใจดูจะเป็นสิ่งที่คัดแยกความเป็นประโยชน์ของสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆเลยทีเดียว ผมเชื่อว่าแทบจะทุกครั้งที่เราจะทำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นประโยชน์มักจะต้อง "ฝืนใจตัวเอง" ให้ขยันทำมัน ผิดกับกิจกรรมที่ไม่เป็นประโยชน์เท่าไหร่ที่เราแทบจะไม่ต้องฝืนใจทำเลย


ข่าวร้ายคือพลังใจเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด เหมือนกับน้ำมันที่เติมรถยนต์


ข่าวดีคือหนังสือเล่มนี้บอกว่าเรามี "วิธีประหยัดการใช้พลังใจ" ด้วยการอย่าเอาของล่อใจมาวางใกล้ๆ ซึ่งจะทำให้เราต้องใช้พลังใจเราไปอย่างปล่าวประโยชน์ เช่น เราต้องการลดน้ำหนักซึ่งเราต้องฝืนกินให้น้อยๆแต่คุณพระ!!!!!ขนมทั้งหลายนี่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานเลยครับ


หรืออย่างเช่นเราต้องการโฟกัสงานของเราให้เสร็จแต่บนโต๊ะเรามีอุปกรณ์เอาไว้เล่น social network เต็มไปหมด....ของพวกนี้แหละตัวทำให้เราทำงานไม่ได้นานจนถึงเย็น เพราะพลังใจเราหมดไปมากแล้วกับการควบคุมตัวเองไม่ให้เล่น "โทรศัพท์มือถือ"


ข่าวดีอีก 1 อย่างซึ่งเจ๋งมากๆคือ พลังใจพวกนี้เราสามารถฝึกให้มีเยอะๆได้ครับ (ก็เหมือนเปลี่ยนถังน้ำมันของเราให้ใหญ่ขึ้นได้) โดยให้ทำการเลือกว่า "อะไรสำคัญที่สุดในชีวิต 3 อันดับแรก" และให้เราเขียนเรียงความ ความยาว 6 นาทีว่า "ทำไมมันถึงสำคัญกับเรา" โดยเขียนวน 3 เรื่องนี้เท่านั้นเองในช่วงเช้า ส่วนจะเขียนบ่อยแค่ไหน ในหนังสือก็ยกตัวอย่างว่าอาทิตย์นึงอย่างน้อย 2 ครั้งครับ^^


จนกว่าจะพบกันใหม่!!!









การลงทุนในอะไรก็ตามเนี่ย....คิดให้ดีก่อนว่า "เพราะเงิน" หรือ "เพราะชอบมันจริงๆ"

ผมได้นั่งคุยกับเพื่อน SME ในระหว่างดื่มคืนที่ผ่านมา พอเราดื่มนิดหน่อย(ไม่ถึงกับเมาอะไรจนขับรถไม่ได้เลยนะครับ) ผมก็ได้ content ที่จะเขียน blog ขึ้นมาเรื่องนึง


ตามหัวเรื่องที่ว่านี้ขอเล่าเคสของคน 2 คนสุดโต่งครับ.....


คนหนึ่งมั่นใจสุดขีดกับการที่จะ "ลงทุน" อย่างหนึ่งถึงขนาดที่ว่าจะลาออกเพื่อมาทำมัน

เอาจริงๆนะครับต้องดูเลยว่าเค้า "มั่นใจ" เพราะอะไร................เพราะเห็นคนอื่นลงทุนแล้วมันดี หรือว่า เพราะคนอื่นบอกว่าเค้าน่าจะเหมาะกับธุรกิจนี้ หรือว่า เพราะมั่นใจสุดขีดว่าคู่แข่งไม่เก่งเท่าเราแน่และลูกค้ามาซื้อเราแน่ๆ.......หลายเหตุผลมากจริงๆนะครับ แต่สำหรับผมเองผมมองว่า แต่ละเหตุผลเนี่ยยังไม่โดนสักอันเลยจริงๆ

เอาเฉพาะเหตุผลแรกก็ได้อ่ะ สมมุติลงทุนธุรกิจปุบ มันดันไม่ได้ "ตัง" เหมือนที่คาดหวังไว้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเค้าก็คือ คนๆนี้ผ่านไปสักพักก็จะโผล่โปรเจคใหม่มาอีกแล้วและพูดว่า "กุว่าโปรเจคอันต่อไปที่กุจะทำต่อจากนี้แหละน่าจะดีกว่าของจริง" 


อีกคนหนึ่งที่จะยกตัวอย่างก็กลัวเกินไปนิดนึง (คือมีทุนแต่ใจไม่กล้า ตรงข้ามกับเคสแรกสิ้นเชิง)

หยั่งงี้แหละเลยเกิดเหตุการณ์ "หมาคาบไปแดก" และคนนี้เองก็ไม่ได้ทำอะไรสักที


สรุปจบคือผมว่าการลงทุนมันช่างโหดร้าย สำหรับ "คนใจง่าย" ที่มักจะเห็นว่าสนามหญ้าบ้านข้างๆทำไมเขียวกว่าของตัวเองวะ และโหดร้ายสำหรับ "คนมองโลกในแง่ลบ" ที่ตัดสินใจไม่ลงทุนทำธุรกิจหนึ่งที่อุตส่าห์คิดขึ้นมาได้แล้วแต่กลับไม่ทำมันเพียงเพราะความ negative ของตัวเอง ไม่ใช่ไม่ทำเพราะ เหตุผลจริงว่ามันไม่ work!!!