Sunday, September 13, 2015

Ego...กับเรื่อง "กบในกะลา"

Blog วันนี้บอกได้เลยว่าเป็นเรื่องของธรรมะ แต่อาจจะมีเนื้อหาด้านการลงทุนบ้างในช่วงท้าย


คนทุกคนมีจุดอ่อน เป็นเรื่องที่ไม่ผิดอะไรขอแค่ "ยอมรับ" ว่าเรามีจุดอ่อน  การยอมรับว่าเรามีจุดอ่อนอะไรเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก เพราะทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นอัตโนมัติเลย โดยที่เราไม่รู้ตัวว่า "เราไม่เก่งอะไร" และเราไม่อยากยอมรับเรื่องที่ทำให้เรา "ดูไม่ดี" หรอกครับ


จุดอ่อนของคนแต่ละคน...ถ้ามองในแง่ดีคือเปรียบเสมือนดาบที่มันมี 2 คม จุดอ่อนหนึ่งอาจเป็นคมดาบที่คมมากๆ ถ้าเราเอาด้านคมมาใช้ แต่ก็ทื่อสุดๆถ้าใช้ผิดฝั่ง ตัวอย่างเช่น ผมเองเป็นนักคิดที่คิดได้ลึกซึ้งมาก ซึ่งข้อดีของมันคือคิดอะไรได้ซับซ้อนและลึกซึ้ง แต่ จุดอ่อนของคนที่คิดได้คิดดีคือ การไม่ค่อย "ทำ" เพราะคิดอะไรอย่างฉลาดในสมองของเราเยอะจนไม่ได้ทำอะไร


อย่าหล่อ และก็อย่าดูดีมาก ลองซื่อสัตย์กับตัวเองดู สุดท้ายเราอาจคิดหาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ที่จะพัฒนาตัวเอง ในโลกของเราเองเลยก็ได้


จุดอ่อนอันหนึ่งที่กลับเป็นคุณสมบัติที่เด่นได้ถ้าเอาด้านคมมาใช้คือ คนที่โง่และสมองช้า คนกลุ่มนี้ที่เลือกเอาด้านคมของดาบมาใช้คือเค้าจะกลายเป็นคนไม่มี Ego เป็นเหตุให้ฟังทุกคนที่สอนและนำเสนอ แต่ถ้าเค้าเลือกเอาด้านทื่อมาใช้ก็จะกลายเป็นคน "โง่แล้วอวดฉลาด" ต้องระวังมากๆเลยครับ (ผมเป็นคนซื่อบื้อมากๆๆๆ โชคยังดีที่ไม่ค่อยมี Ego เลยพอจะเอาตัวรอดไปวันๆได้)


ในทางพุทธไม่เคยใช้คำว่า "ฉลาด" กับ "ปัญญา" มาเป็นคำเดียวกันเลย


เรื่องราวของคนมีปัญญา ก็อาจจะเปรียบเปรยได้กับเรื่องราวของ "กบตัวนึง" ที่คอยกระโดดออกจากกะลาเล็กๆมาอยู่ใต้กะลาอันใหญ่กว่า กบตัวที่มีปัญญา ก็จะหาทางกระโดดออกจากกะลาที่ดูเหมือนใหญ่แล้ว แต่ก็ยังหาทางกระโดดออกมาได้อยู่เรื่อย กบตัวนั้นจะเลิกค้นหาทางออกของกะลาอันนึงก็ต่อเมื่อกบรู้สึกว่า "กูฉลาดมากพอแล้วว่ะ" พอๆๆๆ ไม่จำเป็นต้องหาทางกระโดดอีกแล้ว


ขอยืมคำพูดในโฆษณาเบียร์สิงห์ ว่า "ถามตัวเอง ถ้าเป็นคนเก่ง จะเก่งกว่านี้ได้มั้ย ถ้าเป็นคนดี จะดีกว่านี้ได้อีกแค่ไหน"


ชีวิตคนเรามันก็ไม่มีอะไรมาก แต่ในความคิดของผมเองคิดว่า ชีวิตคงขาดสเน่ห์ ถ้าเรารู้และเก่งพอที่จะไม่ฟังและก็เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม


ผมเองเคยลงทุนหุ้นด้วยตัวเองมาก่อนที่จะทำธุรกิจ "ที่ปรึกษาการเงินส่วนบุคคล" ก่อนทำงานนี้ผมเองเคยคิดว่าความรู้เรื่องเงินของผมเองน่าจะอยู่ในระดับต้นๆก็ว่าได้ ถ้าจำกันได้ ผมเองเคยโพสต์หล่อๆว่า "ผมเลือกที่จะทำงานอะไรที่เราสามารถเป็นที่ 1 ในล้านคนได้ "  มาวันนี้ผมเองคงไม่กล้าพูดคำนั้น เพราะคนที่เก่งกว่าผมมีเยอะแยะมากมายเหลือเกิน


ขอจบท้ายด้วยคำว่าอย่าหล่อ(หรือสวย) มากครับ ยอมรับบ้างว่าเรามีข้อเสียยังไง
+++คนทำบุญหรือทำดีให้เราเห็นก็อาจจะแค่ "อยากดูดี"
+++คนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นก็อาจจะแค่ "อยากดูดี"
+++คนที่ไม่อยากบอกว่าตัวเองขายตรงหรือปิดการขายแบบ Force ลูกค้า ก็แค่เพราะว่า "ไม่อยากดูไม่ดี"
+++คนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองกำลัง "ยอมแพ้" อยู่ด้วยการพูดอยู่บ่อยๆว่า "ปลงแล้ว" ก็แค่พูดให้ตัวเอง "ดูดี"
+++คนที่มี Ego ชัดๆแต่กล้าบอกว่าตัวเอง "ไม่มี Ego นะ" ก็แค่พูดให้ "ดูดี"
+++คนที่บอกว่าตัวเองเป็นคนดี อันนี้คิดเอาเองครับว่า คนคนนี้จะ "น่ากลัวขนาดไหน"
+++คนที่บอกว่าไม่กลัวเมียหรือไม่มีชู้หรือไม่คอรัปชั่น คนคนนี้จะเป็นยังไงดีน้าาา
+++อ้อ!!! แล้วก็อย่าสับสนระหว่าง คนที่คอยพัฒนาตัวเอง กับ คนที่พอเพียง นะครับ เรื่องนี้น่ากลัวมาก เพราะคนที่เค้าไม่อยากพัฒนาตัวเอง มักจะอ้างว่า "แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว"
+++สุดท้ายอันนี้เจ๋งมากครับคือคนที่ขายประกันแต่บอกกับคนอื่นว่าเป็น "ที่ปรึกษาการเงินส่วนบุคคล" ก็แค่อยาก "ดูดี" ขึ้นมาบ้างเท่านั้นแหละครับ


##ที่ปรึกษาการเงินไม่ใช่คนที่เดาทิศทางหรือเดาอนาคตได้เก่งเลย คนที่ประสบความสำเร็จทางด้านการลงทุน ในความคิดผมคือ เค้าน่าจะไม่เคยเดาตลาดหุ้นอย่างที่กูรูหรือนักวิเคราะห์เค้าทำกัน เราเองทำได้แค่เผื่อไว้ว่า "ขึ้นก็ดีหรือจะลงก็ดี" เท่านั้นเอง ไม่ต่างอะไรกับธรรมะของเรา

No comments:

Post a Comment