Sunday, July 19, 2015

คำตอบที่ดีที่สุดของ "เริ่มต้นเล่นหุ้นหรือกองทุนต้องทำอะไรก่อนดี?"

ขออนุญาตไม่นอกเรื่องหรือเกริ่นอะไรทั้งนั้นครับ......คำตอบง่ายๆของคำถามนี้คือ "เริ่มต้นเล่นหุ้นหรือกองทุนต้องเริ่มต้นเล่นหุ้นหรือกองทุนก่อน"


เหมือนเป็นคำตอบกวนๆครับ แต่จริงๆมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ พูดง่ายๆก็คือ "อย่าคิดเยอะครับ ให้ลงมือเลย" หลังจากลงมือลงทุนไปแล้ว เชื่อสิครับว่าเราจะเริ่มลนลานและจะพยายามทุกวิถีทางที่จะหาความรู้ให้ได้เร็วที่สุด


วิธีการเปิดพอร์ตหรือเปิดบัญชีกองทุน ก็ง่ายมากครับแค่ตรงดิ่งไปที่สถานที่ที่ทำให้เกิด "ผลลัพธ์" เช่นบริษัทหลักทรัพย์หรือธนาคาร แค่นี้ก็มีบัญชีลงทุนได้แล้ว ง่ายมากๆ


และเพื่อจูงใจให้คนหันมาลงมือปฏิบัติ.....ผมขอเล่าเรื่องราวความผิดพลาดในชีวิตของตัวเองให้ฟังละกันครับ โดยจะเล่าความผิดพลาดในมุมมอง "การวิเคราะห์พื้นฐาน"


ในเรื่องการวิเคราะห์พื้นฐานที่เรียนรู้จากการปฏิบัติ

1. คิดว่าบริษัทที่กู้มากๆจะไม่ดี โอ้ย!!อ่านในหนังสือเค้าก็บอกว่าบัฟเฟตต์หลีกเลี่ยงบริษัทที่มีหนี้มากๆ

 แต่ปรากฏพบว่าในชีวิตจริง ปู่บัฟเองก็ยังลงทุนในบริษัทอย่าง GM เลยครับ ผมเลยกลับมาหาเหตุผล....สุดท้ายก็ถึงบางอ้อว่า "อ๋อ!!! ต้องดูด้วยว่าประเภทธุรกิจของบริษัทเป็นแนวไหนด้วย" การที่บริษัทมีหนี้เยอะแค่ทำให้เรา "ให้คะแนน" บริษัทนี้ลดลงแต่ไม่ใช่ว่าปิดกั้นที่จะไม่ลงทุนบริษัทนี้เลย

2. คิดว่าซื้อบริษัทที่มี P/BV ต่ำกว่า 1 ไว้เยอะๆเราจะมี Margin of Safety

แต่ปรากฏว่าในชีวิตจริง Warren Buffett ก็ซื้อหุ้นที่ P/BV เกิน 1 แทบจะทุกตัวมีเฉพาะช่วงแรกๆของชีวิตลงทุนที่เค้าเชื่อหลักของ Graham มากไปเลยซื้อบริษัทคุณภาพกลางๆแต่ราคาถูก

ชีวิตจริงอีก 1 เรื่องคือ เราคงไม่ได้ลงทุนโดยหวังให้บริษัทเจ๊งแล้วเรายังกำไรหลังจากการชำระบัญชีหรอกครับ (ชำระบัญชีก็คือขายทรัพย์สินของบริษัททิ้งแล้วเอาเงินมาจ่ายเจ้าหนี้ทั้งหลายเสร็จแล้วเอาเงินมาคืนผู้ถือหุ้น) พูดง่ายๆคือ P/BV แค่บอกว่าเราจะเจ็บแค่ไหนตอนบริษัท "ตาย" แต่ P/E จะบอกเราว่าเราจะได้ผลตอบแทนอย่างไรบ้างตอนบริษัทยัง "เป็น" อยู่

3. พอเราเปลี่ยนมาดู P/E บ้างก็เลือกที่ P/E ต่ำๆ การที่ P/E ต่ำๆหมายความว่าเราซื้อหุ้นที่ราคาหุ้นถูก ผลก็คือกำไรของบริษัทมันจะกลบทุนที่เราซื้อหุ้นนั้นๆ ได้เร็วขึ้น เช่น ถ้าเราซื้อหุ้นที่ P/E = 11 และกำไรของบริษัทยังเป็นเท่าเดิมอีก 11 ปี และให้ปันผลเราจากกำไรของบริษัททั้งหมด และปันผลนั้นไม่เสียภาษีด้วย...จะใช้เวลา 11 ปีที่ผลรวมปันผลที่ได้จะเท่ากับทุนที่ซื้อหุ้นตัวนั้น

แต่ปรากฏว่าชีวิตจริงคือเราก็ดันไปซื้อตอน P/E ต่ำจริง แต่ต่ำเพราะปีที่ผ่านมาทั้งปีมันเป็นปีที่กำไรบริษัทสูงเป็นประวัติการณ์แถมยังมีกำไรพิเศษเติมเข้ามาด้วย



ดูๆแล้วถ้าชีวิตลงทุนผิดพลาดเยอะขนาดนี้ คงมีคำถามว่า  "ที่ลงทุนที่ผ่านมาได้กำไรเหรอ?" ผมตอบเลยว่าได้ครับ ได้ทั้งในรูปตัวเงิน และในรูปของความรู้และประสบการณ์  เช่น เดิมมีเงิน 10 บาท ผ่านไป 6 ปีเพิ่มเป็น 18 บาท แต่เราควรที่จะได้เป็น 30 บาท(ถ้าเราวิเคราะห์หุ้นเก่งกว่านี้...หรือถ้าลงทุนด้วยสัดส่วนทรัพย์สินที่มากกว่านี้....หรือถ้าลงทุนด้วยเงินกู้มากกว่านี้...หรือซื้อหุ้นบางตัวช้ากว่านี้....หรือ Cutloss เร็วกว่านี้) ผมเลยได้ผลตอบแทนรูปแบบตัวเงินคือ 8 บาท และรูปแบบความรู้และประสบการณ์อีก 12 บาท ผมกล้ายอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยว่า 8 บาทที่ได้มานี่เพราะโชคช่วยล้วนๆ อย่าลืมว่า 6 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นมันเป็นขาขึ้นตลอด


สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ยังไม่เริ่มหรือเริ่มแล้วแต่ขาดทุนก็อย่าคิดมากครับให้ถือซะว่าเรา "ซื้อประสบการณ์" ด้วยราคาเดียวกับจำนวนเงินที่ขาดทุนนั่นแหละ


โชคดีกับการลงทุนครับ ^_^








No comments:

Post a Comment